Animalverse.social

Login Now

Create an account
  • Home
  • Blackmarketplace
  • Groups
  • Game
  • Watch
  • Jobs
  • Financial
  • Digital Assets
  • Login
  • Register

ขยายความ

Profile picture of ขยายความ

ขยายความ

@0x217828c54f6960ab9938ed921c342f1b218e21c0

Active 1 week, 5 days ago
  • Activity
  • Profile
  • Shop
  • Friends 53
  • Groups 2
  • Forums
  • Media 190
  • 53

    Friends

  • 2

    Groups

My photos
  • ข้อดี-ข้อเสียของ "นมควาย" มีสารอาหารมากกว่านมวัวจริงเหรอ? แล้วเหมาะกับใครบ้าง? “นมควาย” กลับมาได้รับความสนใจในแวดวงสุขภาพอีกครั้ง เพราะมีคนเชื่อว่ามีสารอาหารมากกว่านมวัว(?) และอาจดีต่อร่างกายมากกว่า(?) นมควาย หรือ Buffalo Milk อาจไม่ใช่นมที่เราพบเห็นบ่อยในร้านสะดวกซื้อ แต่ในหลายประเทศอย่าง อินเดีย, อิตาลี หรือปากีสถาน นมชนิดนี้ถือเป็นนมหลักที่ผู้คนนิยมบริโภคมานาน เพราะมีรสเข้มข้น มัน และมีสารอาหารสูงกว่านมวัวในหลายด้าน อย่างไรก็ดี ใช่ว่านมควายจะเหมาะกับทุกคน มาดูกันว่าจริงๆแล้วนมควายมีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร? และเหมาะกับใครบ้าง? คุณค่าทางโภชนาการของนมควาย นมควายมีสารอาหารหลักไม่ต่างจากนมวัว ได้แก่ โปรตีน ไขมัน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินต่างๆ แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนคือ “ปริมาณ” โดยงานวิจัยหลายชิ้นพบว่า นมควายมีไขมันมากกว่านมวัวถึง 2 เท่า และให้พลังงานสูงกว่า นอกจากนี้ยังมีโปรตีนและแคลเซียมมากกว่าเช่นกัน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานสูงหรืออยู่ในช่วงต้องการบำรุงร่างกาย อย่างไรก็ตาม นมควายมี “แลคโตส” หรือ น้ำตาลนม ในระดับใกล้เคียงกับนมวัว จึงอาจทำให้บางคนที่มีภาวะย่อยแลคโตสไม่ได้ (Lactose Intolerance) มีอาการท้องอืดหรือปวดท้องได้หากดื่มมากเกินไป ข้อดีของนมควาย อุดมด้วยสารอาหารสูง: มีโปรตีนและแคลเซียมมากกว่านมวัว เหมาะกับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูก ไขมันดีมากกว่า: แม้จะมีไขมันมากกว่า แต่งานวิจัยบางส่วนพบว่าไขมันในนมควายมีกรดไขมันชนิดดี (HDL) มากกว่าด้วย เหมาะกับการทำอาหาร: เนื้อครีมเข้มข้นและมันมาก เหมาะสำหรับการทำชีส เนย หรือโยเกิร์ต โดยเฉพาะ “มอซซาเรลลาชีส” ที่ขึ้นชื่อว่าทำจากนมควายแท้ มีสารต้านอนุมูลอิสระ: ในนมควายมีวิตามินเอและวิตามินอีสูง ซึ่งช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ ข้อเสียของนมควาย ไขมันและแคลอรีสูง: แม้จะมีคุณค่ามาก แต่ก็มีพลังงานสูงกว่า จึงอาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ย่อยยากกว่า: เนื่องจากมีไขมันเข้มข้นและมีแลคโตสในปริมาณพอๆกับนมวัว คนที่มีอาการแพ้นมหรือย่อยน้ำตาลนมไม่ได้ควรหลีกเลี่ยง หาซื้อยากและมีราคาแพง: ในประเทศไทย นมควายยังมีการผลิตจำกัด จึงมีราคาสูงและหาซื้อได้เฉพาะบางพื้นที่หรือฟาร์มเฉพาะทาง นมควายเหมาะกับใครบ้าง? นมควายเหมาะสำหรับคนที่ต้องการโปรตีนและแคลเซียมสูง เช่น นักกีฬาหรือผู้ที่อยู่ในช่วงฟื้นฟูร่างกายหลังป่วย รวมถึงผู้สูงอายุที่ต้องการเสริมความแข็งแรงของกระดูก แต่ไม่แนะนำสำหรับผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง หรือผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก เพราะมีปริมาณไขมันมากกว่านมวัว บทสรุป นมควาย ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนรักสุขภาพที่ต้องการสารอาหารเข้มข้น มีโปรตีน แคลเซียม และวิตามินสูงกว่านมวัว แต่ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่ควบคุมน้ำหนักหรือมีปัญหาเรื่องไขมัน ทั้งนี้ ก่อนเปลี่ยนจากนมวัวมาดื่มนมควายเป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ เพื่อให้เหมาะกับสภาพร่างกายของแต่ละคนมากที่สุด
  • องค์การอนามัยโลก ยืนยันแล้ว ปลา 1 ชนิด เป็นสารก่อมะเร็งจริง พบหลายคนกินแทบทุกวัน วันที่ 12 พ.ย. 68 ทาง WHO ได้ออกมายืนยัน ปลาเค็ม เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 1 เสี่ยงมะเร็งโพรงจมูกสูง โดย องค์การอนามัยโลก (WHO) โดยสำนักงานวิจัยมะเร็งนานาชาติ (IARC) ได้จัดให้ “ปลาเค็ม” เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 1 ซึ่งเป็นระดับความเสี่ยงสูงสุดเทียบเท่ากับยาสูบและแร่ใยหิน โดยชี้ว่าอันตรายไม่ได้มาจากตัวปลา แต่เกิดจากกระบวนการหมักเกลือที่สร้างสาร “ไนโตรซามีน” (N-nitrosamines) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่ได้รับการยืนยันแล้ว และมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับการเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งโพรงจมูกสูงกว่าปกติ 5-10 เท่า นอกจากนี้ ปลาเค็มยังมีความเสี่ยงจากปริมาณโซเดียมที่สูงซึ่งอาจนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง และหากเก็บรักษาไม่ดี อาจเกิดเชื้อราที่สร้างสาร “อะฟลาทอกซิน” ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งตับได้ อย่างไรก็ตาม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่ายังสามารถรับประทานปลาเค็มได้อย่างปลอดภัย หากปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด โดยควรจำกัดการบริโภคให้น้อยลง เหลือเพียงเดือนละ 1-2 ครั้ง และที่สำคัญคือควรเปลี่ยนวิธีการปรุงจากการทอดด้วยไฟแรงมาเป็น “การนึ่ง” เพื่อลดปริมาณสารอันตรายและโซเดียม นอกจากนี้ ควรรับประทานคู่กับผักและผลไม้สดที่มีวิตามินซีสูง เช่น มะเขือเทศ หรือบรอกโคลี เพื่อช่วยยับยั้งการสร้างสารก่อมะเร็งในร่างกาย ทั้งนี้ ควรเลือกซื้อปลาเค็มจากแหล่งที่สะอาดน่าเชื่อถือ เก็บในที่แห้ง และทิ้งทันทีหากมีกลิ่นผิดปกติหรือเชื้อรา โดยเฉพาะผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ และผู้มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคเพื่อความปลอดภัยสูงสุดอวสานปลาเค็ม WHO ยกเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 1 เสี่ยงมะเร็งโพรงจมูก 10 เท่า
  • ใครคือผู้นำเข้า "ธนบัตร" มาใช้ครั้งแรกในสยาม จากหอยเบี้ย-เงินพดด้วง สู่แบงก์ชาติ! จาก "หอยเบี้ย-เงินพดด้วง" สู่แบงก์ชาติ! ย้อนรอยการเปลี่ยนผ่านระบบเงินตราไทย ใครคือผู้นำเข้า "ธนบัตร" มาใช้ครั้งแรกในสยาม วิวัฒนาการของ เงินตราไทย มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสยามสู่ความทันสมัย จากในอดีตที่ใช้เบี้ยและเงินพดด้วงเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน จนกระทั่งโลกเข้าสู่ยุคของการค้าขายระหว่างประเทศ จึงจำเป็นต้องปฏิรูประบบเงินตราให้เป็นสากล บทความนี้จะพาย้อนรอยเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ พร้อมหาคำตอบว่าใครคือผู้ที่นำพาให้ชาวสยามได้รู้จักกับ "ธนบัตร" เป็นครั้งแรก ก่อนจะพัฒนามาสู่การเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ ในปัจจุบัน ยุคเงินตราโบราณ: หอยเบี้ยและเงินพดด้วง ก่อนจะมีการนำเข้าเครื่องจักรผลิตเหรียญ สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่แพร่หลายที่สุดคือ หอยเบี้ย ซึ่งใช้สำหรับซื้อขายสินค้าที่มีมูลค่าต่ำในระดับชาวบ้าน ส่วนการค้าขายในระดับใหญ่จะใช้ เงินพดด้วง ที่ทำจากโลหะเงินแท้ เงินพดด้วงมีลักษณะกลมคล้ายกระสุน มีรอยประทับตราแผ่นดินและตราประจำรัชกาล ซึ่งใช้ต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ อย่างไรก็ตาม เงินพดด้วงมีข้อจำกัดคือมีน้ำหนักมาก และไม่สามารถผลิตได้รวดเร็วเพียงพอต่อการขยายตัวทางการค้ากับชาติตะวันตก การปฏิรูปก้าวแรกสู่เหรียญกษาปณ์ (รัชกาลที่ 4) เมื่อเข้าสู่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ประเทศสยามเริ่มเปิดรับการค้ากับต่างชาติมากขึ้น จึงทรงเล็งเห็นความจำเป็นในการปฏิรูปเงินตราให้เป็นมาตรฐานสากล ในปี พ.ศ. 2400 จึงมีการตั้งโรงกษาปณ์แห่งแรกขึ้นในสยาม ชื่อว่า โรงกระสาปน์สิทธิการ เพื่อผลิต เหรียญกษาปณ์ ตามแบบตะวันตก ทำให้คนไทยได้รู้จักและเริ่มใช้เงินเหรียญสมัยใหม่ควบคู่ไปกับเงินพดด้วง พระบิดาแห่งธนบัตร: ผู้นำเข้าเงินกระดาษในรัชกาลที่ 5 แม้จะมีการใช้เหรียญกษาปณ์แล้ว แต่ปริมาณโลหะก็ยังไม่เพียงพอต่อการผลิต และยังมีการปลอมแปลงเงินตราอยู่มาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) จึงทรงมีพระราชดำริให้นำ ธนบัตร เข้ามาใช้ ผู้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันและริเริ่มนำ ธนบัตร เข้ามาใช้ในสยาม คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ขณะทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ การนำธนบัตรมาใช้อย่างเป็นทางการเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2445 (ร.ศ. 121) ภายใต้พระราชบัญญัติจัดการเปลี่ยนเงินตรา ซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดของยุคเงินพดด้วง และเป็นรากฐานสำคัญของการเงินไทยก่อนจะพัฒนามาสู่การก่อตั้ง ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ในเวลาต่อมา สรุปการเปลี่ยนผ่านระบบเงินตราไทย เส้นทางของ เงินตราไทย แสดงให้เห็นถึงความพยายามของผู้นำประเทศในการปรับตัวเข้าสู่ระบบการเงินโลก โดยเริ่มจากการใช้เหรียญกษาปณ์ในรัชกาลที่ 4 และนำธนบัตรมาใช้ในรัชกาลที่ 5 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนเงิน แต่ยังเป็นการวางรากฐานอันมั่นคงให้แก่ระบบธนาคารและการเงินของประเทศสยาม จนสามารถก้าวเข้าสู่ยุคของ แบงก์ชาติ และระบบการเงินที่ทันสมัยได้อย่างสมบูรณ์
  • หมอเตือน! ตื่นนอนแล้ว "ปากขม-มีกลิ่น" เป็นสัญญาณ 5 โรค แนะวิธีแก้ง่ายๆ รีบทำตาม คุณมีปัญหาเรื่องการหายใจเมื่อตื่นนอนหรือไม่? Dr.Huang Xuan แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทรวงอกและภาวะวิกฤต เตือนว่าหากตื่นขึ้นมาแต่เช้าและรู้สึกว่า "ขมและมีกลิ่น" ในปาก นั่นอาจเป็นสัญญาณของการเตือนภัยด้านสุขภาพ นอกจากกรดไหลย้อน และสุขอนามัยในช่องปากที่ไม่ดีแล้ว ยังอาจเกิดจากโรคตับอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ โรคโจเกรน หรือแม้แต่โรคเบาหวาน คุณหมอโพสต์บนแฟนเพจเฟซบุ๊ก ชี้ให้เห็นว่าบางคนมีประสบการณ์รู้สึกขมและมีกลิ่นปากหลังจากตื่นนอนในตอนเช้า แม้ว่าสถานการณ์เช่นนี้จะไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะสาเหตุของกลิ่นปากอันขมขื่นน่าจะเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพ 5 ประการต่อไปนี้ กรดไหลย้อนและอาหารไม่ย่อย หากตื่นนอนตอนเช้า และพบว่ามีรสขมในปากบ่อยครั้ง พร้อมด้วยลมหายใจเปรี้ยวผิดปกติ อาจกำลังเป็นโรคกรดไหลย้อนได้ กรดไหลย้อนจะทำให้กรดในกระเพาะหรือน้ำดีกลับเข้าไปในหลอดอาหารและแม้กระทั่งเข้าไปในปาก ทำให้เกิดรสขมและไม่ดีในปาก สถานการณ์นี้มักเกี่ยวข้องกับการ "รับประทานอาหารเย็นมากเกินไปหรือดึกเกินไป" แนะนำให้หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหนักหรือมันเยิ้มก่อนเข้านอน และรอ 2-3 ชั่วโมงหลังอาหารเย็นค่อยเข้านอน การทำงานของตับและท่อน้ำดีผิดปกติ การสะสมหรือการขับถ่ายของน้ำดีไม่ดีอาจทำให้มีรสขมในปาก รสขมในปากเมื่อตื่นนอนตอนเช้า โดยจะมีอาการร่วมด้วย เช่น เหนื่อยล้า เบื่ออาหาร หรือปวดบริเวณชายโครงด้านขวา แนะนำให้ไปพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจการทำงานของตับและถุงน้ำดี ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับและถุงน้ำดี สุขอนามัยช่องปากและสุขภาพฟันไม่ดี แบคทีเรียในปากมีแนวโน้มที่จะแพร่พันธุ์ในเวลากลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีปัญหา เช่น โรคปริทันต์ ฟันผุ หรือแผลในช่องปาก และกลิ่นปากจะรุนแรงขึ้น หากพบรสขมและกลิ่นในปาก แนะนำให้แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันทุกเช้าและเย็น และตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ โรคเบาหวานและโรคทางเมตาบอลิซึม ผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจมีอาการปากแห้ง ปากขม และกลิ่นปาก เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดไม่คงที่ สาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของคีโตนในร่างกาย ส่งผลให้มีรสหวานหรือขมผิดปกติ อาการปากขมและมีกลิ่นปาก ผู้ป่วยอาจมีอาการต่างๆ เช่น กระหายน้ำบ่อย และปัสสาวะบ่อย ขอแนะนำให้ทำการทดสอบน้ำตาลในเลือด เพื่อทำความเข้าใจการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โรคโจเกรน กลุ่มอาการโจเกรน (Sjogren's Syndrome) คือโรคทางภูมิคุ้มกันที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อการทำงานของต่อมน้ำลาย ซึ่งอาจทำให้ปากแห้ง ปากขม และกลิ่นปากได้ ตื่นเช้ามาปากแห้งผิดปกติ และอาจกลืนลำบาก ตามมาด้วยอาการตาแห้งหรือผิวแห้ง แนะนำให้พิจารณาตรวจระบบภูมิคุ้มกันโรครูมาติก Dr.Huang Xuan สรุปว่าหากต้องการแก้ไขปัญหากลิ่นขมและกลิ่นปากในตอนเช้า คุณควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหนักหรือมันเยิ้มในตอนกลางคืน และพยายามหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารก่อนเข้านอน ไม่รับประทานอาหารมากเกินไปในมื้อเย็น และการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูงในปริมาณปานกลาง สามารถช่วยส่งเสริมการย่อยอาหารได้ นอกจากนี้ อย่าลืมแปรงฟันทุกเช้าและเย็น และใช้ไหมขัดฟันหากจำเป็น ให้ใช้น้ำยาบ้วนปากเพื่อลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยกำจัดอาหารตกค้างในปากเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการหลั่งน้ำลายและลดอาการปากแห้ง ทั้งนี้ หากเกิดอาการปากเหม็นและกลิ่นปากอย่างต่อเนื่อง ควรไปพบแพทย์ให้ทันเวลา เพื่อระบุสาเหตุและให้การรักษาตามอาการ
  • ครอบครัว 4 ชีวิต ไตวายเฉียบพลัน แพทย์ชี้ช็อก "ต้นเหตุ" มาจากอาหารเดียวกัน! 4 คนในครอบครัวเดียวกัน ป่วยไตวายเฉียบพลัน หมอบอก “ต้นเหตุ” มาจากอาหารจานเดียว จบที่ห้องไอซียูทั้งบ้าน!! หลังจากรับประทานอาหารจานหนึ่ง สมาชิกในครอบครัว 4 คนในประเทศจีนต้องถูกนำส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ตามรายงานของสื่อ Red Star News เมื่อไม่นานมานี้ โรงพยาบาลฝานกังซีชาง มณฑลเสฉวน ประเทศจีน ได้รับผู้ป่วยจากครอบครัวหนึ่งรวม 4 คน เข้ารับการรักษาอาการ อาหารเป็นพิษและไตวายเฉียบพลัน โดยในจำนวนนี้ 2 คนมีอาการวิกฤต ต้องฟอกไตเร่งด่วน ผลการตรวจจากโรงพยาบาลพบว่า ทั้ง 4 คน ติดเชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลลา (Salmonella) ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ ภาวะช็อกจากการติดเชื้อ และไตวายเฉียบพลัน “ต้นเหตุคือไข่เยี่ยวม้า” จากคำให้การของสมาชิกในครอบครัวอีกคนหนึ่ง ก่อนที่จะเกิดเหตุ สมาชิกทั้ง 4 คนได้กิน ไข่เยี่ยวม้าที่สั่งซื้อทางออนไลน์ หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนเริ่มมีอาการผิดปกติ เช่น อาเจียน ท้องเสีย ไข้สูง และหมดสติ เขาจึงรีบโทรเรียกรถพยาบาลนำส่งโรงพยาบาลทันที หมอเว่ยหยวน แพทย์จากแผนกโรคไตของโรงพยาบาล ระบุว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ป่วยทั้ง 4 คนมีอาการรุนแรง มาจากการรับประทานไข่เยี่ยวม้าที่มีการปนเปื้อนเชื้อซัลโมเนลลา “ไข่เยี่ยวม้าเป็นอาหารที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อซัลโมเนลลาได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าผลิตหรือขนส่งแบบไม่สะอาด ไม่ถูกหลักอนามัย หากรับประทานเข้าไป อาจทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษอย่างรุนแรง และในกรณีร้ายแรงอาจนำไปสู่ ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด หรือแม้แต่ ไตวายเฉียบพลัน ได้” นอกจากนี้ หมอเว่ยหยวนยังเผยว่า ไข่เยี่ยวม้ายัง มีสารตะกั่วในปริมาณหนึ่ง ดังนั้น ไม่ควรรับประทานมากเกินไป
  • IMG_0697
  • บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ คาดการณ์หลายครั้งว่า ใน 10 ปีข้างหน้า AI จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการทำงานของมนุษย์อย่างมหาศาล และอาจแทนที่อาชีพส่วนใหญ่ของมนุษย์ได้ เขาให้สัมภาษณ์ในรายการ The Tonight Show กับจิมมี่ ฟอลลอน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่า ความก้าวหน้าของ AI อาจทำให้หลายอาชีพที่เคยต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์และครู ไม่จำเป็นต้องพึ่งพามนุษย์อีกต่อไป ตามรายงานจากสื่อต่างประเทศ บิล เกตส์ กล่าวในการสนทนากับศาสตราจารย์อาร์เธอร์ บรูคส์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดว่า ยุคใหม่นี้คือ "ยุคแห่งปัญญาเสรี" (Free Intelligence) เขาเชื่อว่าด้วยความก้าวหน้าของ AI คำแนะนำทางการแพทย์และการศึกษาคุณภาพสูง จะกลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ฟรีและแพร่หลาย AI จะเข้ามามีบทบาทในทุกมิติของชีวิต ตั้งแต่ยารักษาโรคและการวินิจฉัยขั้นสูง ไปจนถึงครู AI และผู้ช่วยเสมือนที่ใช้งานได้อย่างกว้างขวาง บิล เกตส์ ระบุว่า AI จะสามารถเข้าใจหลักการสอนและแรงจูงใจของผู้เรียน ช่วยออกแบบหลักสูตร ประเมินการมีส่วนร่วมของนักเรียน ค้นหาจุดอ่อนในการเรียนรู้ และปรับการสอนแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ทุกคนก้าวหน้าไปพร้อมกัน ในด้านการแพทย์ AI จะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากงานวิจัยและประวัติผู้ป่วยจำนวนมหาศาล เพื่อให้การวินิจฉัยที่แม่นยำและครอบคลุมกว่ามนุษย์ บิล เกตส์ เน้นว่า AI กำลังเปลี่ยนแปลงโลกอย่างรวดเร็วและลึกซึ้งจนแทบเป็นเรื่องน่ากลัว เพราะมันไม่มีขีดจำกัด เขาเคยเขียนในบล็อกว่า ได้ขอให้ OpenAI สร้างโมเดลที่สามารถทำคะแนนสูงสุดในข้อสอบชีววิทยา AP ของระดับมัธยมปลาย ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 2-3 ปี แต่กลับสำเร็จภายในไม่กี่เดือน ด้วยความก้าวหน้านี้ เขาคาดว่า AI อาจช่วยให้มนุษย์ทำงานเพียง 2-3 วันต่อสัปดาห์ และมีเวลามากขึ้นสำหรับกิจกรรมอื่นนอกเหนือจากงาน แม้ว่า AI จะเข้ามาท้าทายหลายอาชีพ แต่เกตส์ชี้ว่า บางงานอาจไม่มีวันถูกแทนที่ เช่น กีฬาที่ผู้คนอยากดูนักกีฬาจริงลงแข่งแทนหุ่นยนต์ 1. โปรแกรมเมอร์ – สถาปนิกแห่ง AI เกตส์ระบุว่า ผู้ที่สร้างระบบ AI คือกลุ่มที่มีโอกาสรอดมากที่สุด แม้ AI จะก้าวหน้าอย่างมากในการเขียนโค้ด แต่ยังขาดความแม่นยำและทักษะในการแก้ปัญหาที่จำเป็นต่อการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อน นักพัฒนาโปรแกรมยังคงมีบทบาทสำคัญในการดีบั๊ก ปรับปรุง และผลักดัน AI ให้ก้าวไปข้างหน้า 2. ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน – ผู้คุมพลังงานของโลก พลังงานเป็นระบบที่กว้างและซับซ้อนเกินกว่าที่ AI จะจัดการได้เอง ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน นิวเคลียร์ หรือพลังงานหมุนเวียน ผู้เชี่ยวชาญยังจำเป็นต้องกำกับดูแล นำทางกฎระเบียบ และวางแผนโซลูชันที่ยั่งยืน เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา "แม้ AI จะช่วยวิเคราะห์และเพิ่มประสิทธิภาพได้ แต่ในด้านการตัดสินใจและบริหารวิกฤต มนุษย์ยังคงขาดไม่ได้" นักชีววิทยา – นักสำรวจแห่งชีวิต นักชีววิทยา โดยเฉพาะในด้านการวิจัยทางการแพทย์และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ อาศัยความคิดสร้างสรรค์ สัญชาตญาณ และการวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI เลียนแบบได้ยาก แม้ AI จะช่วยประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลและวินิจฉัยโรคได้ แต่ยังขาดความสามารถในการตั้งสมมติฐานใหม่ ๆ หรือก้าวกระโดดทางความคิดในงานวิจัย 3. "นักชีววิทยายังคงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการแพทย์และทำความเข้าใจความซับซ้อนของชีวิต AI เป็นเพียงเครื่องมืออันทรงพลัง แต่ไม่ใช่สิ่งทดแทน"
  • แพทย์เผยรายงาน เปรียบเทียบ คนดื่มกาแฟตอนเช้า กับคนที่ไม่ดื่มกาแฟ แพทย์เผยรายงาน เปรียบเทียบ คนดื่มกาแฟตอนเช้า กับคนที่ไม่ดื่มกาแฟ กับอัตราการเสียชีวิตในผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน ผลออกมาชัดมาก วันที่ 14 ม.ค.67 นพ.ฆนัท ครุฑกูล นายกสมาคม นายกสมาคมโภชนาการเพื่อกีฬาและสุขภาพ เปิดเผยว่า จากการศึกษาเรื่องการดื่มกาแฟล่าสุด โดยเพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร European Heart Journal เมื่อวันที่ 8 ม.ค.2025 โดยสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างเวลาที่บริโภคกาแฟและอัตราการเสียชีวิตในผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน พบการดื่มกาแฟในช่วงเช้าเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่ลดลงในการเสียชีวิตจากสาเหตุต่าง ๆ และโรคหัวใจ เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่มกาแฟหรือดื่มตลอดทั้งวัน นพ.ฆนัท กล่าวว่า การศึกษาเรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า การดื่มกาแฟในช่วงเช้าอาจเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่ลดลงในการเสียชีวิตจากสาเหตุต่างๆ แต่ในความเห็นส่วนตัวของหมอคนที่ไม่ดื่มกาแฟเลยก็ไม่มีความจำเป็นต้องดื่ม แต่ถ้าคนที่ดื่มกาแฟไม่ควรดื่มในปริมาณที่มาก วันหนึ่งไม่ควรดื่มการแฟมากจนเกินไป เนื่องจากคนไทยมีรูปร่างเล็กกว่าชาวยุโรปหรืออเมริกา จึงไม่ควรดื่มเกินวันละสองแก้ว สำหรับในคนยุโรปหรือคนอเมริกันไม่ควรบริโภคกาแฟเกิน กาแฟ 2-4 ถ้วยต่อวันหรือ 400 มิลลิกรัมของคาเฟอีน”นพ.ฆนัท กล่าว นพ.ฆนัท กล่าวว่า สำหรับช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการดื่มกาแฟคือ ในช่วงเช้าหรือกลางวันและหลีกเลี่ยงการดื่มในช่วงเย็น โดยกาแฟดำเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มแคลอรี่หรือน้ำตาล และแนะนำให้ดื่มหลังอาหารเช้า เพราะกาแฟมีผลกระทบให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
  • รวมวิจัยมหาลัยดัง พ่อแม่ที่ทำงาน 3 อาชีพนี้ มีโอกาสเลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จ "มากกว่า" รวมงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยระดับโลก เผยพ่อแม่ที่ทำงาน 3 กลุ่มอาชีพนี้ มีโอกาสเลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จ "มากกว่า" ในทุคยุคสมัยปรากฏการณ์หนึ่งที่ยังคงสังเกตเห็นอยู่เสมอ นั่นคือ อาชีพของพ่อแม่มีแนวโน้มที่จะถูก “สืบทอด” มาจากรุ่นต่อรุ่น พูดอย่างง่ายๆ ก็คือ หากพ่อแม่ทำงานในสาวอาชีพใดอาชีพหนึ่ง ลูกของพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะประกอบอาชีพที่คล้ายกันเมื่อเติบโตขึ้น นั่นเป็นเหตุว่าทำไมจึงได้ยินวลีเช่น “ครอบครัวนักดนตรี” “ครอบครัวสถาปนิก” หรือ “ตระกูลหมอ” บ่อยๆ ในสายตาของหลายๆ คน เรื่องนี้ดูเป็นสิ่งลึกลับที่ยังหาคำตอบไม่ได้อยู่บ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วแก่นแท้ของเรื่องนี้ก็คือ พ่อแม่จะนำทักษะหรือลักษณะเฉพาะทางวิชาชีพของตน มาแปลงเป็นทรัพยากรทางการศึกษาในครอบครัว ทำให้ลูกๆ ได้สัมผัสและเริ่มคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย จากการศึกษาวิจัย 30 ปีของสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน พบว่า ประเภทอาชีพของผู้ปกครองส่งผลโดยตรงต่อรายได้ ความสำเร็จในอาชีพ และความสามารถในการปรับตัวทางสังคมของบุตรหลานเมื่อเป็นผู้ใหญ่ คำถามต่อมาที่หลายคนอยากรู้ก็คือ พ่อแม่สามารถเลือกอาชีพใดได้บ้าง ที่จะช่วย “ปูทาง” ให้ลูกๆ สู่อนาคตที่ประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย? แพทย์/นักวิจัย – ฝึกทักษะการคิดเชิงตรรกะและความอดทน ไม่ว่าจะเป็นแพทย์หรือนักวิจัย ทุกคนจะเห็นว่าอาชีพเหล่านี้มีลักษณะเด่นที่ใช้ข้อมูลในการอธิบาย และใช้การคิดเชิงระบบในการวิเคราะห์ปัญหา นอกจากนี้ มักต้องการความละเอียดรอบคอบ ต้องเผชิญกับความกดดันและความล้มเหลวบ่อยๆ ซึ่งลักษณะเหล่านี้จะค่อยๆ ถูกส่งผ่านมายังลูกๆ ผ่านการอบรมในครอบครัว โดยผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า ลูกของแพทย์หรือนักวิจัยมักมีผลการเรียนในสาขาวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรมศาสตร์, คณิตศาสตร์ สูงกว่าลูกของผู้ปกครองในอาชีพอื่นๆ ถึง 31% ซึ่งไม่ใช่เพราะพันธุกรรม แต่เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับการเข้าหาปัญหาด้วยการคิดแบบหลักการและเหตุผลตั้งแต่เด็ก นอกจากนี้ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์ พบว่า ลูกของแพทย์หรือนักวิจัยมักมีระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (ที่เกี่ยวข้องกับความเครียด) ต่ำกว่าลูกของคนทั่วไปถึง 41% ในสถานการณ์ที่มีความตึงเครียด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถปรับตัวกับความเครียดได้ดีกว่า ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ลูกๆ จะไม่เพียงแต่ฝึกทักษะการคิดเชิงตรรกะ แต่ยังสามารถพัฒนาความอดทนที่สูงกว่า นอกจากนี้ยังช่วยให้เด็กมีความได้เปรียบในการเรียนและทำงานในอนาคต แต่ก็ต้องระวังว่าการทำงานที่ใช้เวลามากอาจทำให้เด็กขาดการเอาใจใส่ หรือเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เครียดเกินไป ดังนั้น ผู้ปกครองควรกำหนดขอบเขตระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวให้ชัดเจน เพื่อสร้างผลกระทบที่ดีให้แก่เด็กและหลีกเลี่ยงผลเสียจากความเครียดในอาชีพ ครู/นักการศึกษา – สร้างทักษะการคิดแบบพัฒนาให้เด็ก ทุกคนรู้ว่าการศึกษาต้องมีการปรับปรุงตามยุคสมัย ซึ่งหมายความว่าครูต้องมีการคิดแบบ "พัฒนา" เพื่อปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ดังนั้น ลูกของครูมักจะได้รับโอกาสในการพัฒนาทักษะการคิดตั้งแต่เด็ก การคิดแบบนี้จะช่วยให้เด็กสามารถปรับตัวกับโลกที่เปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ครูไม่ได้แค่ถ่ายทอดความรู้ แต่ยังต้องสร้างและจัดระเบียบความรู้ให้เป็นระบบ ดังนั้น ครูจึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการเรียนรู้ได้ดีกว่าผู้ปกครองคนอื่นๆ การวิเคราะห์ข้อผิดพลาดในการตรวจงานหรือการสร้างระบบความรู้ในการเตรียมการสอน กลายเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการศึกษาของเด็ก ที่สำคัญคือ สภาพแวดล้อมในบ้านของครูมักจะสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดีให้กับเด็ก เช่น การเตรียมการสอน การอ่านหนังสือ และการเรียนรู้ ซึ่งจะทำให้เด็กได้รับผลกระทบที่ดีจากสิ่งเหล่านี้ การศึกษาจากคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ พบว่า ลูกของครูมีผลการทดสอบความสามารถด้านการเรียนรู้ สูงกว่าลูกของผู้ปกครองที่ไม่ได้ทำงานเป็นครูถึง 23% การสามารถควบคุมและปรับกระบวนการเรียนรู้ได้ดี เป็นสิ่งที่ช่วยเด็กในการรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคต อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองที่เป็นครูต้องระวังการนำวิธีการสอนมาปรับใช้กับการเลี้ยงดูเด็ก หากมีการควบคุมมากเกินไปหรือการตั้งระเบียบที่เคร่งครัดอาจสร้างความตึงเครียดในบ้านและส่งผลเสียต่อจิตใจของเด็ก นักธุรกิจ/ผู้ประกอบการ – กระตุ้นความสามารถในการเป็นผู้นำของเด็ก จากการสำรวจของโรงเรียนธุรกิจฮาร์วาร์ด พบว่า 43% ของลูกของนักธุรกิจเคยมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางธุรกิจของครอบครัวตั้งแต่เด็ก แม้ว่าจะไม่ทั้งหมดที่รับช่วงงานธุรกิจจากพ่อแม่ แต่เด็กเหล่านี้มักแสดงความสามารถในการเป็นผู้นำและมีความสามารถทางธุรกิจตั้งแต่ยังเด็ก นี่คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "ผลกระทบจากอาชีพ" ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่าลูกของนักธุรกิจมักได้รับโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้ที่ดีกว่าลูกของครอบครัวอื่นๆ นอกจากนี้ การที่พ่อแม่เป็นนักธุรกิจยังทำให้เด็กๆ มีโอกาสในการขยายมุมมองและพัฒนาความเข้าใจได้เร็วกว่าเด็กในครอบครัวอื่นๆ และด้วยข้อได้เปรียบด้านทรัพยากรทางการเงิน เด็กในครอบครัวนักธุรกิจสามารถลองผิดลองถูกได้โดยไม่ต้องแบกรับความกดดันมากนัก จากกระบวนการทดลอง – ปรับปรุง – เรียนรู้อย่างต่อเนื่องนี้ เด็กๆ มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้น จริงๆ แล้ว ผลกระทบจากอาชีพของพ่อแม่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลุ่มอาชีพที่กล่าวถึงข้างต้น แม้แต่ในอาชีพทั่วไป เราก็สามารถใช้ความได้เปรียบจากการทำงานของเรามาช่วยให้ลูกเติบโตและพัฒนาไปในทางที่ดีได้ ตามที่ Peter Drucker ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการกล่าวไว้ "การศึกษาที่ดีที่สุดคือการเปลี่ยนวิธีการทำงานให้กลายเป็นปัญญาของชีวิต"
  • All190
  • Albums1
  • Photos190
  • Videos0
  • Music0

Create an Album

Please login

You need to be logged in to upload Media or to create Album.

Click HERE to login.

Upload

All Music

Sorry !! There's no media found for the request !!

Recent activity
  • ขยายความ shared a post

    2 weeks ago
  • ขยายความ posted an update

    2 weeks, 4 days ago
  • ขยายความ posted an update

    3 weeks, 1 day ago
  • ขยายความ shared a post

    3 weeks, 2 days ago
  • ขยายความ posted an update

    1 month, 1 week ago
Guest
Create an account