ขยายความ @0x217828c54f6960ab9938ed921c342f1b218e21c0 Active 1 days, 16 hours ago Activity Profile Friends 16 Groups Forums Media 82 All82 Albums1 Photos82 Videos0 Music0 IMG_9346 ขยายความ 10 September 2024 II. เสร็จแล้วมองหัวหน้า หัวหน้าชอบเราหรือป่าว ชอบในที่นี้คือ เวลามีงานสำคัญ งานด่วนวันหยุด งานพิเศษอะไรก็แล้วแต่ เขาคิดถึงเราก่อนไหม? เวลาเขาชักจะเดือนร้อน ไฟลน เขามอบหมายให้เราช่วย? ถ้าใช่…จงดีใจว่าอย่างน้อยหัวหน้า prefer คุณ ให้เขาใช้งานคุณดีกว่าให้เขาใช้งานคนอื่น เพราะนั่นส่งสัญญาณว่า คุณคือเบอร์ 1 ในใจเขาแล้ว คิดบวกสุดๆ 55 III. แสงสปอร์ตไลท์ เอาจริงๆ มันสำคัญนะ งานที่ทำแทบตาย แต่หัวหน้าไม่ให้แสงเราเลย ไม่ให้เครดิต ไม่ให้เราได้พบปะผู้ใหญ่ ไม่ให้เราได้พรีเซ้น แบบนั้นย้ายเถอะ หัวหน้าที่ดีคือลูกน้องทำดี..เขาจะให้เครดิตเราบ้าง (ไม่จำเป็นต้องตลอด) เราจะเป็นที่รู้จักและได้รับการไว้วางใจในวงกว้าง โดยเฉพาะถ้าหัวหน้าที่ใหญ่กว่าหัวหน้าสายตรงเรา ได้รับรู้ด้วย ยิ่งดี (ย้ำนะว่า ยิ่งดี) 8. องค์กรต้องเติบโต รายได้ดีขึ้น หรือถ้าร้ายได้น้อยลงเพราะอะไรหลายๆอย่าง ตั้งแต่โควิดระบาด อะไรๆก็ไม่เหมือนเดิม บวกกับเทรนด์และเทคโนโลยีที่เข้ามา disrupt แต่ถ้าบริษัทพยายามขยับขยาย พยายามปรับตัว สร้าง innovation สร้าง move ที่แตกต่างเพื่อผลลัพธ์ที่แตกต่าง หรือว่าง่ายๆ สู้ยิบตาอ่ะ ผมว่าแบบนี้เวิร์ค ถ้าอยู่แบบทรงๆ ไปวันๆ ไม่เน้นเติบโต หาทางย้ายงานจะดีกว่า 9. กลับมาที่ค้นหาตัวเองว่าแบบไหนคือ งานที่ชอบ งานที่ไม่ชอบ ผมคิดว่ามีโอกาสประมาณ 3-4 งานให้ได้ลอง หลังจากนั้นคุณต้องตัดสินใจได้แล้ว อย่างผมเองถ้ามองย้อนกลับไป งานที่ผมชอบที่สุดมันคืองานแรกด้วยซ้ำ แต่ตอนนั้นผมแค่ไม่รู้ว่า..งานแบบนี้คือที่ผมชอบจริงๆหรือป่าว ผมเลยออกค้นหาตัวเอง ลองหลายอย่าง ส่วนงานปัจจุบันผมให้เป็นอันดับสอง (เผื่อใครถามว่า ทำไมไม่กลับไปงานแบบแรก (งานวิศวะ) คำตอบก็คือ..ผมห่างมันมาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับ ไม่มีบริษัทไหนรับผมแล้ว) 10. พูดถึงเรื่อง Skill สำคัญกันบ้าง I. สกิลหลักอันนึงที่ผมมองว่ามันทำให้ผมมาถึงจุดนี้ได้คือ Flexibility ผมปรับตัวเก่ง เรียนรู้และทำได้หลากหลาย OT ไม่เคยได้นะ แต่ทำเพราะหน้าที่ และมีสกิลครอบจักรวาลก็ว่าได้ แน่นอนเรามีด้านที่เราถนัดและไม่ถนัด ถ้าเราได้ใช้ด้านถนัดกับงานมันย่อมดี แต่บางทีมันก็มี adhoc อะไรแปลกๆให้รับมือเรื่อยๆ II. ต้องมี Logical Thinking ไม่ว่างานอะไร คิดแบบ logic ได้คุณจะรอดแล้ว ถ้าถามว่าแล้ว logic แบบไหน? วัดยังไงว่าเรามี logic หรือป่าว…วัดที่ผลลัพธ์ ถ้าทำออกมาแล้วหัวหน้าแฮปปี้ ผู้ใหญ่แฮปปี้ หรือ user ที่เอางานของเราไปใช้ต่อแฮปปี้ นั่นแหละดีแล้ว แต่ถ้าไม่ใช่…แสดงว่า logic คุณอาจจะผิด ทำไมถึงใช้คำว่าอาจจะ เพราะบางทีหัวหน้าคุณอาจจะไม่มี logic ก็ได้ แต่..ย้ำอีกทีว่า อย่าคิดเข้าข้างตัวเอง! III. Communication Skill ต้องมีและมันสำคัญโคตรๆๆๆๆ ในการจะโตไปเป็นระดับ Top Management ซึ่งข้อดีของสิ่งนี้ คือ มันฝึกกันได้แค่ต้องมีเวทีให้เราได้ลองพูด และ มันเก่งขึ้นได้เองตามประสบการณ์ หรือแม้กระทั่งตามอายุนั่นแหละ แต่ถ้าคุณหลบๆซ่อนๆ ไม่กล้าพรีเซ้น ไม่กล้าคุยกับผู้ใหญ่ ไม่กล้าดีลงาน มันจะพัฒนาช้า สุดท้ายแล้ว คนเก่งๆคนอื่นเขาพัฒนาไปเรื่อยๆ เราจะหลุดวงโคจร โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่จบนานาชาติหรือเรียนนอกมานานๆ พวกนี้เขากล้าและพูดเป็น ผมเจอรุ่นน้องหลายคนนะเก่งมาก อายุ 26-28 เอง ผมในช่วงอายุเท่านั้นแพ้ขาด IV. ต้องเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน โชคดีที่สิ่งนี้ผมมีเองโดยธรรมชาติ มันเป็นนิสัยผมอยู่แล้ว แต่ผมพึ่งมารู้ว่ามันสำคัญก็ตอนที่หัวหน้าเล่าให้ฟังว่า เวลามีการประเมินขึ้นเงินเดือน ตัดเกรดการทำงาน หรือแม้กระทั่งเลือกใครให้เลื่อนตำแหน่ง หัวหน้าใหญ่จะเป็นคนฟันธง แต่เขาก็ต้องการความเห็นจากระดับบิ๊กๆ ภายใต้เขา จุดนี้แหละที่สำคัญว่าใครจะคนยกมือสนับสนุนคุณ หรือต่อต้านคุณ (เพราะเขาก็มีลูกน้องตัวเอง ที่เขาเสนอชื่อมาแข่งกับคุณนั่นแหละ) อย่างน้อยเขาไม่ต่อต้านเพราะเราทำดีทั้งกับทีมเราและนอกทีม มันก็ช่วยได้เยอะ V. Commitment หรือใครจะเรียกว่า Responsibility ก็ได้แหละ ผมไม่รู้ว่าลึกๆมันต่างกันยังไงนะ แต่หัวหน้าผมละกัน เขาชอบคนมี commitment เช่น เวลาผมบอกว่า ผมจะส่งงานภายในวันนี้ ซึ่งผมจะทำให้ได้ ถึงมันจะส่งตอน 23.59 มันก็คือภายในวันนี้ ทั้งๆที่รู้ว่า ส่งไปตอนเที่ยงคืน ใครมันจะไปอ่านวะ แต่ผมส่งเพราะผมรับปากหัวหน้าไปแล้วว่า ผมจะส่งวันนี้ ถ้าถามว่าแล้วทำไมไม่บอกไปว่าจะส่ง 17.00 ก่อนเลิกงาน…ก็เพราะรู้ว่ามันทำไม่ทันไง เลยต้องเอากลับมาทำที่บ้าน และประเมินแล้วว่า ดึกแน่ สรุปก็คือรักษาคำพูดแล้ว deliver งานให้ได้ (อันนี้แค่ยกตัวอย่างแบบง่ายๆเฉยๆ แต่แน่นอนชีวิตจริงมันมีอยู่แล้วที่คิดว่าจะส่งงานได้ แต่มันดีเลย์ ซึ่งบริบทมันแตกต่างกันไป) 11. ภาษาอังกฤษยังสำคัญเสมอ ผมเองไม่ค่อยได้พูด นานๆทีก็เขิลๆอ่ะบอกตรงๆ สำเนียงไม่ไหวละ 55 แต่ผมก็ยังถือว่าเก่งกว่าคนส่วนมาก และการทำสไลด์พรีเซ้นต่างๆ ก็ยังใช้อังกฤษเยอะ ส่วนภาษาจีน ผมโนคอมเม้นละกันเพราะในสายงานผมไม่จำเป็น แต่ผมเชื่อว่าสำคัญในอนาคต 12. ใครจะบอกว่าใช้ AI ทำสไลด์แทนแล้วยุคนี้ เอาตรงๆบริษัทไหนทำบ้างหว่า? มันจะตรงประเด็นได้ยังไงก่อน มันล่นเวลาได้จริง ผมเคยลองทำใน workshop ที่เกี่ยวกับ AI แต่ชีวิตจริง งาน 100% คือ ทำมือล้วนๆ เพราะมันคือ communication อย่างนึงที่เราต้องกลั่นออกมาเองจากความเข้าใจและประเมินว่าผู้รับสารของเราคือใครเพื่อจะได้ทำให้ตรงจุด (AI ทำแทนไม่ได้ ไม่มีทาง) 13. AI ที่ใช้ได้และมีประโยชน์ที่สุดคือพวก Chat GPT อันนี้ช่วยได้จริงทั้งในแง่การแปลภาษาได้ไว การค้นหาข้อมูลเบื้องต้น และการขอไอเดีย เพื่อที่เราจะเอามาปรับใช้ มีประโยชน์นะ ใครไม่เคยลอง…ต้องลองได้แล้วครับ แต่ต้องเขียน prompt ให้เป็นละ ไม่งั้นห่วยนะ 14. เป็นคนขยันอ่ะดี ถึงจะก้าวหน้า แต่ก็ไม่ต้องขยันตลอดเวลา จุดไหนพักได้ก็ถอนคันเร่งบ้าง เก็บแรงไว้ปะทะกับงานในวันที่มันมาแบบล้นๆ 15. อย่าเอาหัวหน้าไปนินทาเกินเบอร์ คือในโลกทำงานมันมีซุบซิบแหละ ตัวเราก็ถูกนินทา แต่เลือกวงให้ถูก วงเล็กๆจิ๋วๆพอ ให้พอได้ระบายบ้าง รู้ว่าคนไหนไว้ใจได้จริงๆ (ดูให้ออกนะเว่ย) ถึงเลือกวงถูกแล้ว..ก็อย่าใช้คำรุนแรง อย่าพูดไปเรื่อย อย่าพูดในที่สาธารณะเกินไป มันถึงหูคนอื่นได้แบบไม่รู้ตัว มันมีความเสี่ยงได้ทั้งนั้น และเคสนี้มันเกิดขึ้นจริงๆกับคนรู้จัก หมดโอกาสโตเลย (ทุกวันนี้เขาก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ผมก็ไม่กล้าไม่เล่าเขานะ) 16. สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานคือ หัวหน้า ต่อให้งานจะดีแค่ไหนเพื่อนร่วมงานดีแค่ไหน แต่เราไม่คลิ๊กกับหัวหน้า บอกเลยยังไงมันก็ทุกข์ จะปรับตัวหรือจะลาออก ตัดสินใจไปเลย ถ้าถามผมนะ ผมลาออก เพราะอะไรนะเหรอ…กลับไปดูข้อ 7 (และผมก็ลาออกจริงๆ ตอนได้หัวหน้าแย่ Toxic เกิ๊น ยังตามด่าจนถึงวันนี้เลย เวลาคนถามว่าทำงานที่ไหนแย่สุด ออกเพราะอะไร ด่ายับอ่ะบอกเลย เพราะไม่เกี่ยวกันแล้ว ไม่ง้อ 55) แต่ก่อนจะโทษหัวหน้า โทษตัวเองก่อนว่า..มันผิดที่เราหรือป่าว เอาให้แน่เน้ออออ 17. พออายุเริ่มเยอะ เราจะคิดมากเรื่องย้ายงาน ยิ่งถ้ามีภาระก็ยิ่งคิดหนัก ฉะนั้นลองอะไรก่อน 30 ได้จะดี หลังจากนั้นต้องวางแผนให้ดี ชีวิตมีโอกาสผ่านเข้ามาหลายครั้ง แต่ไม่ใช่ต้องคว้าทุกอย่างเพราะมันมีทั้งดี และอาจจะไม่ดีก็ได้ ต้องไม่โลกสวย ขยายความ 10 September 2024 นึกออกประมาณนี้แหละ ทีนี้มาเรื่องเงินเดือนกันบ้าง ผมขอระบุโดยประมาณนะ งานที่ 1 งานวิศวะทำสองปี เงินเดือนเริ่มไม่ถึงสองหมื่น เงินเดือนตอนลาออก สองหมื่นต้นๆ — เว้นไปต่อโท — งานที่ 2 งานแบงค์ ทำสองปี เงินเดือนเริ่ม ไม่ถึง 4 หมื่น เงินเดือนตอนลาออกราวสี่หมื่นต้นๆ งานที่ 3 งานแนว Start Up เงินเดือนเริ่ม ห้าหมื่นกลางๆ ทำ 3 เดือน ทนอยู่ไม่ไหว ลาออกแบบตกงาน งานที่ 4 งานแนว Consult ทำเกือบๆสองปี เงินเดือนเริ่มห้าหมื่นกลางๆ เงินเดือนตอนลาออก ไม่ถึงหกหมื่น งานที่ 5 งานแนวบริหาร (งานปัจจุบัน ทำมา 4 ปี) เงินเดือนเริ่มแตะเจ็ดหมื่น เงินปัจจุบันแสนกลางๆ
II. เสร็จแล้วมองหัวหน้า หัวหน้าชอบเราหรือป่าว ชอบในที่นี้คือ เวลามีงานสำคัญ งานด่วนวันหยุด งานพิเศษอะไรก็แล้วแต่ เขาคิดถึงเราก่อนไหม? เวลาเขาชักจะเดือนร้อน ไฟลน เขามอบหมายให้เราช่วย? ถ้าใช่…จงดีใจว่าอย่างน้อยหัวหน้า prefer คุณ ให้เขาใช้งานคุณดีกว่าให้เขาใช้งานคนอื่น เพราะนั่นส่งสัญญาณว่า คุณคือเบอร์ 1 ในใจเขาแล้ว คิดบวกสุดๆ 55
III. แสงสปอร์ตไลท์ เอาจริงๆ มันสำคัญนะ งานที่ทำแทบตาย แต่หัวหน้าไม่ให้แสงเราเลย ไม่ให้เครดิต ไม่ให้เราได้พบปะผู้ใหญ่ ไม่ให้เราได้พรีเซ้น แบบนั้นย้ายเถอะ หัวหน้าที่ดีคือลูกน้องทำดี..เขาจะให้เครดิตเราบ้าง (ไม่จำเป็นต้องตลอด) เราจะเป็นที่รู้จักและได้รับการไว้วางใจในวงกว้าง โดยเฉพาะถ้าหัวหน้าที่ใหญ่กว่าหัวหน้าสายตรงเรา ได้รับรู้ด้วย ยิ่งดี (ย้ำนะว่า ยิ่งดี)
8. องค์กรต้องเติบโต รายได้ดีขึ้น หรือถ้าร้ายได้น้อยลงเพราะอะไรหลายๆอย่าง ตั้งแต่โควิดระบาด อะไรๆก็ไม่เหมือนเดิม บวกกับเทรนด์และเทคโนโลยีที่เข้ามา disrupt แต่ถ้าบริษัทพยายามขยับขยาย พยายามปรับตัว สร้าง innovation สร้าง move ที่แตกต่างเพื่อผลลัพธ์ที่แตกต่าง หรือว่าง่ายๆ สู้ยิบตาอ่ะ ผมว่าแบบนี้เวิร์ค ถ้าอยู่แบบทรงๆ ไปวันๆ ไม่เน้นเติบโต หาทางย้ายงานจะดีกว่า
9. กลับมาที่ค้นหาตัวเองว่าแบบไหนคือ งานที่ชอบ งานที่ไม่ชอบ ผมคิดว่ามีโอกาสประมาณ 3-4 งานให้ได้ลอง หลังจากนั้นคุณต้องตัดสินใจได้แล้ว อย่างผมเองถ้ามองย้อนกลับไป งานที่ผมชอบที่สุดมันคืองานแรกด้วยซ้ำ แต่ตอนนั้นผมแค่ไม่รู้ว่า..งานแบบนี้คือที่ผมชอบจริงๆหรือป่าว ผมเลยออกค้นหาตัวเอง ลองหลายอย่าง ส่วนงานปัจจุบันผมให้เป็นอันดับสอง (เผื่อใครถามว่า ทำไมไม่กลับไปงานแบบแรก (งานวิศวะ) คำตอบก็คือ..ผมห่างมันมาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับ ไม่มีบริษัทไหนรับผมแล้ว)
10. พูดถึงเรื่อง Skill สำคัญกันบ้าง
I. สกิลหลักอันนึงที่ผมมองว่ามันทำให้ผมมาถึงจุดนี้ได้คือ Flexibility ผมปรับตัวเก่ง เรียนรู้และทำได้หลากหลาย OT ไม่เคยได้นะ แต่ทำเพราะหน้าที่ และมีสกิลครอบจักรวาลก็ว่าได้ แน่นอนเรามีด้านที่เราถนัดและไม่ถนัด ถ้าเราได้ใช้ด้านถนัดกับงานมันย่อมดี แต่บางทีมันก็มี adhoc อะไรแปลกๆให้รับมือเรื่อยๆ
II. ต้องมี Logical Thinking ไม่ว่างานอะไร คิดแบบ logic ได้คุณจะรอดแล้ว ถ้าถามว่าแล้ว logic แบบไหน? วัดยังไงว่าเรามี logic หรือป่าว…วัดที่ผลลัพธ์ ถ้าทำออกมาแล้วหัวหน้าแฮปปี้ ผู้ใหญ่แฮปปี้ หรือ user ที่เอางานของเราไปใช้ต่อแฮปปี้ นั่นแหละดีแล้ว แต่ถ้าไม่ใช่…แสดงว่า logic คุณอาจจะผิด ทำไมถึงใช้คำว่าอาจจะ เพราะบางทีหัวหน้าคุณอาจจะไม่มี logic ก็ได้ แต่..ย้ำอีกทีว่า อย่าคิดเข้าข้างตัวเอง!
III. Communication Skill ต้องมีและมันสำคัญโคตรๆๆๆๆ ในการจะโตไปเป็นระดับ Top Management ซึ่งข้อดีของสิ่งนี้ คือ มันฝึกกันได้แค่ต้องมีเวทีให้เราได้ลองพูด และ มันเก่งขึ้นได้เองตามประสบการณ์ หรือแม้กระทั่งตามอายุนั่นแหละ แต่ถ้าคุณหลบๆซ่อนๆ ไม่กล้าพรีเซ้น ไม่กล้าคุยกับผู้ใหญ่ ไม่กล้าดีลงาน มันจะพัฒนาช้า สุดท้ายแล้ว คนเก่งๆคนอื่นเขาพัฒนาไปเรื่อยๆ เราจะหลุดวงโคจร โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่จบนานาชาติหรือเรียนนอกมานานๆ พวกนี้เขากล้าและพูดเป็น ผมเจอรุ่นน้องหลายคนนะเก่งมาก อายุ 26-28 เอง ผมในช่วงอายุเท่านั้นแพ้ขาด
IV. ต้องเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน โชคดีที่สิ่งนี้ผมมีเองโดยธรรมชาติ มันเป็นนิสัยผมอยู่แล้ว แต่ผมพึ่งมารู้ว่ามันสำคัญก็ตอนที่หัวหน้าเล่าให้ฟังว่า เวลามีการประเมินขึ้นเงินเดือน ตัดเกรดการทำงาน หรือแม้กระทั่งเลือกใครให้เลื่อนตำแหน่ง หัวหน้าใหญ่จะเป็นคนฟันธง แต่เขาก็ต้องการความเห็นจากระดับบิ๊กๆ ภายใต้เขา จุดนี้แหละที่สำคัญว่าใครจะคนยกมือสนับสนุนคุณ หรือต่อต้านคุณ (เพราะเขาก็มีลูกน้องตัวเอง ที่เขาเสนอชื่อมาแข่งกับคุณนั่นแหละ) อย่างน้อยเขาไม่ต่อต้านเพราะเราทำดีทั้งกับทีมเราและนอกทีม มันก็ช่วยได้เยอะ
V. Commitment หรือใครจะเรียกว่า Responsibility ก็ได้แหละ ผมไม่รู้ว่าลึกๆมันต่างกันยังไงนะ แต่หัวหน้าผมละกัน เขาชอบคนมี commitment เช่น เวลาผมบอกว่า ผมจะส่งงานภายในวันนี้ ซึ่งผมจะทำให้ได้ ถึงมันจะส่งตอน 23.59 มันก็คือภายในวันนี้ ทั้งๆที่รู้ว่า ส่งไปตอนเที่ยงคืน ใครมันจะไปอ่านวะ แต่ผมส่งเพราะผมรับปากหัวหน้าไปแล้วว่า ผมจะส่งวันนี้ ถ้าถามว่าแล้วทำไมไม่บอกไปว่าจะส่ง 17.00 ก่อนเลิกงาน…ก็เพราะรู้ว่ามันทำไม่ทันไง เลยต้องเอากลับมาทำที่บ้าน และประเมินแล้วว่า ดึกแน่ สรุปก็คือรักษาคำพูดแล้ว deliver งานให้ได้ (อันนี้แค่ยกตัวอย่างแบบง่ายๆเฉยๆ แต่แน่นอนชีวิตจริงมันมีอยู่แล้วที่คิดว่าจะส่งงานได้ แต่มันดีเลย์ ซึ่งบริบทมันแตกต่างกันไป)
11. ภาษาอังกฤษยังสำคัญเสมอ ผมเองไม่ค่อยได้พูด นานๆทีก็เขิลๆอ่ะบอกตรงๆ สำเนียงไม่ไหวละ 55 แต่ผมก็ยังถือว่าเก่งกว่าคนส่วนมาก และการทำสไลด์พรีเซ้นต่างๆ ก็ยังใช้อังกฤษเยอะ ส่วนภาษาจีน ผมโนคอมเม้นละกันเพราะในสายงานผมไม่จำเป็น แต่ผมเชื่อว่าสำคัญในอนาคต
12. ใครจะบอกว่าใช้ AI ทำสไลด์แทนแล้วยุคนี้ เอาตรงๆบริษัทไหนทำบ้างหว่า? มันจะตรงประเด็นได้ยังไงก่อน มันล่นเวลาได้จริง ผมเคยลองทำใน workshop ที่เกี่ยวกับ AI แต่ชีวิตจริง งาน 100% คือ ทำมือล้วนๆ เพราะมันคือ communication อย่างนึงที่เราต้องกลั่นออกมาเองจากความเข้าใจและประเมินว่าผู้รับสารของเราคือใครเพื่อจะได้ทำให้ตรงจุด (AI ทำแทนไม่ได้ ไม่มีทาง)
13. AI ที่ใช้ได้และมีประโยชน์ที่สุดคือพวก Chat GPT อันนี้ช่วยได้จริงทั้งในแง่การแปลภาษาได้ไว การค้นหาข้อมูลเบื้องต้น และการขอไอเดีย เพื่อที่เราจะเอามาปรับใช้ มีประโยชน์นะ ใครไม่เคยลอง…ต้องลองได้แล้วครับ แต่ต้องเขียน prompt ให้เป็นละ ไม่งั้นห่วยนะ
14. เป็นคนขยันอ่ะดี ถึงจะก้าวหน้า แต่ก็ไม่ต้องขยันตลอดเวลา จุดไหนพักได้ก็ถอนคันเร่งบ้าง เก็บแรงไว้ปะทะกับงานในวันที่มันมาแบบล้นๆ
15. อย่าเอาหัวหน้าไปนินทาเกินเบอร์ คือในโลกทำงานมันมีซุบซิบแหละ ตัวเราก็ถูกนินทา แต่เลือกวงให้ถูก วงเล็กๆจิ๋วๆพอ ให้พอได้ระบายบ้าง รู้ว่าคนไหนไว้ใจได้จริงๆ (ดูให้ออกนะเว่ย) ถึงเลือกวงถูกแล้ว..ก็อย่าใช้คำรุนแรง อย่าพูดไปเรื่อย อย่าพูดในที่สาธารณะเกินไป มันถึงหูคนอื่นได้แบบไม่รู้ตัว มันมีความเสี่ยงได้ทั้งนั้น และเคสนี้มันเกิดขึ้นจริงๆกับคนรู้จัก หมดโอกาสโตเลย (ทุกวันนี้เขาก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ผมก็ไม่กล้าไม่เล่าเขานะ)
16. สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานคือ หัวหน้า ต่อให้งานจะดีแค่ไหนเพื่อนร่วมงานดีแค่ไหน แต่เราไม่คลิ๊กกับหัวหน้า บอกเลยยังไงมันก็ทุกข์ จะปรับตัวหรือจะลาออก ตัดสินใจไปเลย ถ้าถามผมนะ ผมลาออก เพราะอะไรนะเหรอ…กลับไปดูข้อ 7 (และผมก็ลาออกจริงๆ ตอนได้หัวหน้าแย่ Toxic เกิ๊น ยังตามด่าจนถึงวันนี้เลย เวลาคนถามว่าทำงานที่ไหนแย่สุด ออกเพราะอะไร ด่ายับอ่ะบอกเลย เพราะไม่เกี่ยวกันแล้ว ไม่ง้อ 55) แต่ก่อนจะโทษหัวหน้า โทษตัวเองก่อนว่า..มันผิดที่เราหรือป่าว เอาให้แน่เน้ออออ
17. พออายุเริ่มเยอะ เราจะคิดมากเรื่องย้ายงาน ยิ่งถ้ามีภาระก็ยิ่งคิดหนัก ฉะนั้นลองอะไรก่อน 30 ได้จะดี หลังจากนั้นต้องวางแผนให้ดี ชีวิตมีโอกาสผ่านเข้ามาหลายครั้ง แต่ไม่ใช่ต้องคว้าทุกอย่างเพราะมันมีทั้งดี และอาจจะไม่ดีก็ได้ ต้องไม่โลกสวย
นึกออกประมาณนี้แหละ ทีนี้มาเรื่องเงินเดือนกันบ้าง
ผมขอระบุโดยประมาณนะ
งานที่ 1 งานวิศวะทำสองปี เงินเดือนเริ่มไม่ถึงสองหมื่น เงินเดือนตอนลาออก สองหมื่นต้นๆ
— เว้นไปต่อโท —
งานที่ 2 งานแบงค์ ทำสองปี เงินเดือนเริ่ม ไม่ถึง 4 หมื่น เงินเดือนตอนลาออกราวสี่หมื่นต้นๆ
งานที่ 3 งานแนว Start Up เงินเดือนเริ่ม ห้าหมื่นกลางๆ ทำ 3 เดือน ทนอยู่ไม่ไหว ลาออกแบบตกงาน
งานที่ 4 งานแนว Consult ทำเกือบๆสองปี เงินเดือนเริ่มห้าหมื่นกลางๆ เงินเดือนตอนลาออก ไม่ถึงหกหมื่น
งานที่ 5 งานแนวบริหาร (งานปัจจุบัน ทำมา 4 ปี) เงินเดือนเริ่มแตะเจ็ดหมื่น เงินปัจจุบันแสนกลางๆ