Create an Album
Media Gallery
-
แพทย์เผยรายงาน เปรียบเทียบ คนดื่มกาแฟตอนเช้า กับคนที่ไม่ดื่มกาแฟ แพทย์เผยรายงาน เปรียบเทียบ คนดื่มกาแฟตอนเช้า กับคนที่ไม่ดื่มกาแฟ กับอัตราการเสียชีวิตในผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน ผลออกมาชัดมาก วันที่ 14 ม.ค.67 นพ.ฆนัท ครุฑกูล นายกสมาคม นายกสมาคมโภชนาการเพื่อกีฬาและสุขภาพ เปิดเผยว่า จากการศึกษาเรื่องการดื่มกาแฟล่าสุด โดยเพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร European Heart Journal เมื่อวันที่ 8 ม.ค.2025 โดยสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างเวลาที่บริโภคกาแฟและอัตราการเสียชีวิตในผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน พบการดื่มกาแฟในช่วงเช้าเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่ลดลงในการเสียชีวิตจากสาเหตุต่าง ๆ และโรคหัวใจ เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่มกาแฟหรือดื่มตลอดทั้งวัน นพ.ฆนัท กล่าวว่า การศึกษาเรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า การดื่มกาแฟในช่วงเช้าอาจเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่ลดลงในการเสียชีวิตจากสาเหตุต่างๆ แต่ในความเห็นส่วนตัวของหมอคนที่ไม่ดื่มกาแฟเลยก็ไม่มีความจำเป็นต้องดื่ม แต่ถ้าคนที่ดื่มกาแฟไม่ควรดื่มในปริมาณที่มาก วันหนึ่งไม่ควรดื่มการแฟมากจนเกินไป เนื่องจากคนไทยมีรูปร่างเล็กกว่าชาวยุโรปหรืออเมริกา จึงไม่ควรดื่มเกินวันละสองแก้ว สำหรับในคนยุโรปหรือคนอเมริกันไม่ควรบริโภคกาแฟเกิน กาแฟ 2-4 ถ้วยต่อวันหรือ 400 มิลลิกรัมของคาเฟอีน”นพ.ฆนัท กล่าว นพ.ฆนัท กล่าวว่า สำหรับช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการดื่มกาแฟคือ ในช่วงเช้าหรือกลางวันและหลีกเลี่ยงการดื่มในช่วงเย็น โดยกาแฟดำเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มแคลอรี่หรือน้ำตาล และแนะนำให้ดื่มหลังอาหารเช้า เพราะกาแฟมีผลกระทบให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
ขยายความ
-
รวมวิจัยมหาลัยดัง พ่อแม่ที่ทำงาน 3 อาชีพนี้ มีโอกาสเลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จ "มากกว่า" รวมงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยระดับโลก เผยพ่อแม่ที่ทำงาน 3 กลุ่มอาชีพนี้ มีโอกาสเลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จ "มากกว่า" ในทุคยุคสมัยปรากฏการณ์หนึ่งที่ยังคงสังเกตเห็นอยู่เสมอ นั่นคือ อาชีพของพ่อแม่มีแนวโน้มที่จะถูก “สืบทอด” มาจากรุ่นต่อรุ่น พูดอย่างง่ายๆ ก็คือ หากพ่อแม่ทำงานในสาวอาชีพใดอาชีพหนึ่ง ลูกของพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะประกอบอาชีพที่คล้ายกันเมื่อเติบโตขึ้น นั่นเป็นเหตุว่าทำไมจึงได้ยินวลีเช่น “ครอบครัวนักดนตรี” “ครอบครัวสถาปนิก” หรือ “ตระกูลหมอ” บ่อยๆ ในสายตาของหลายๆ คน เรื่องนี้ดูเป็นสิ่งลึกลับที่ยังหาคำตอบไม่ได้อยู่บ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วแก่นแท้ของเรื่องนี้ก็คือ พ่อแม่จะนำทักษะหรือลักษณะเฉพาะทางวิชาชีพของตน มาแปลงเป็นทรัพยากรทางการศึกษาในครอบครัว ทำให้ลูกๆ ได้สัมผัสและเริ่มคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย จากการศึกษาวิจัย 30 ปีของสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน พบว่า ประเภทอาชีพของผู้ปกครองส่งผลโดยตรงต่อรายได้ ความสำเร็จในอาชีพ และความสามารถในการปรับตัวทางสังคมของบุตรหลานเมื่อเป็นผู้ใหญ่ คำถามต่อมาที่หลายคนอยากรู้ก็คือ พ่อแม่สามารถเลือกอาชีพใดได้บ้าง ที่จะช่วย “ปูทาง” ให้ลูกๆ สู่อนาคตที่ประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย? แพทย์/นักวิจัย – ฝึกทักษะการคิดเชิงตรรกะและความอดทน ไม่ว่าจะเป็นแพทย์หรือนักวิจัย ทุกคนจะเห็นว่าอาชีพเหล่านี้มีลักษณะเด่นที่ใช้ข้อมูลในการอธิบาย และใช้การคิดเชิงระบบในการวิเคราะห์ปัญหา นอกจากนี้ มักต้องการความละเอียดรอบคอบ ต้องเผชิญกับความกดดันและความล้มเหลวบ่อยๆ ซึ่งลักษณะเหล่านี้จะค่อยๆ ถูกส่งผ่านมายังลูกๆ ผ่านการอบรมในครอบครัว โดยผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า ลูกของแพทย์หรือนักวิจัยมักมีผลการเรียนในสาขาวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรมศาสตร์, คณิตศาสตร์ สูงกว่าลูกของผู้ปกครองในอาชีพอื่นๆ ถึง 31% ซึ่งไม่ใช่เพราะพันธุกรรม แต่เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับการเข้าหาปัญหาด้วยการคิดแบบหลักการและเหตุผลตั้งแต่เด็ก นอกจากนี้ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์ พบว่า ลูกของแพทย์หรือนักวิจัยมักมีระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (ที่เกี่ยวข้องกับความเครียด) ต่ำกว่าลูกของคนทั่วไปถึง 41% ในสถานการณ์ที่มีความตึงเครียด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถปรับตัวกับความเครียดได้ดีกว่า ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ลูกๆ จะไม่เพียงแต่ฝึกทักษะการคิดเชิงตรรกะ แต่ยังสามารถพัฒนาความอดทนที่สูงกว่า นอกจากนี้ยังช่วยให้เด็กมีความได้เปรียบในการเรียนและทำงานในอนาคต แต่ก็ต้องระวังว่าการทำงานที่ใช้เวลามากอาจทำให้เด็กขาดการเอาใจใส่ หรือเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เครียดเกินไป ดังนั้น ผู้ปกครองควรกำหนดขอบเขตระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวให้ชัดเจน เพื่อสร้างผลกระทบที่ดีให้แก่เด็กและหลีกเลี่ยงผลเสียจากความเครียดในอาชีพ ครู/นักการศึกษา – สร้างทักษะการคิดแบบพัฒนาให้เด็ก ทุกคนรู้ว่าการศึกษาต้องมีการปรับปรุงตามยุคสมัย ซึ่งหมายความว่าครูต้องมีการคิดแบบ "พัฒนา" เพื่อปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ดังนั้น ลูกของครูมักจะได้รับโอกาสในการพัฒนาทักษะการคิดตั้งแต่เด็ก การคิดแบบนี้จะช่วยให้เด็กสามารถปรับตัวกับโลกที่เปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ครูไม่ได้แค่ถ่ายทอดความรู้ แต่ยังต้องสร้างและจัดระเบียบความรู้ให้เป็นระบบ ดังนั้น ครูจึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการเรียนรู้ได้ดีกว่าผู้ปกครองคนอื่นๆ การวิเคราะห์ข้อผิดพลาดในการตรวจงานหรือการสร้างระบบความรู้ในการเตรียมการสอน กลายเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการศึกษาของเด็ก ที่สำคัญคือ สภาพแวดล้อมในบ้านของครูมักจะสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดีให้กับเด็ก เช่น การเตรียมการสอน การอ่านหนังสือ และการเรียนรู้ ซึ่งจะทำให้เด็กได้รับผลกระทบที่ดีจากสิ่งเหล่านี้ การศึกษาจากคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ พบว่า ลูกของครูมีผลการทดสอบความสามารถด้านการเรียนรู้ สูงกว่าลูกของผู้ปกครองที่ไม่ได้ทำงานเป็นครูถึง 23% การสามารถควบคุมและปรับกระบวนการเรียนรู้ได้ดี เป็นสิ่งที่ช่วยเด็กในการรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคต อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองที่เป็นครูต้องระวังการนำวิธีการสอนมาปรับใช้กับการเลี้ยงดูเด็ก หากมีการควบคุมมากเกินไปหรือการตั้งระเบียบที่เคร่งครัดอาจสร้างความตึงเครียดในบ้านและส่งผลเสียต่อจิตใจของเด็ก นักธุรกิจ/ผู้ประกอบการ – กระตุ้นความสามารถในการเป็นผู้นำของเด็ก จากการสำรวจของโรงเรียนธุรกิจฮาร์วาร์ด พบว่า 43% ของลูกของนักธุรกิจเคยมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางธุรกิจของครอบครัวตั้งแต่เด็ก แม้ว่าจะไม่ทั้งหมดที่รับช่วงงานธุรกิจจากพ่อแม่ แต่เด็กเหล่านี้มักแสดงความสามารถในการเป็นผู้นำและมีความสามารถทางธุรกิจตั้งแต่ยังเด็ก นี่คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "ผลกระทบจากอาชีพ" ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่าลูกของนักธุรกิจมักได้รับโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้ที่ดีกว่าลูกของครอบครัวอื่นๆ นอกจากนี้ การที่พ่อแม่เป็นนักธุรกิจยังทำให้เด็กๆ มีโอกาสในการขยายมุมมองและพัฒนาความเข้าใจได้เร็วกว่าเด็กในครอบครัวอื่นๆ และด้วยข้อได้เปรียบด้านทรัพยากรทางการเงิน เด็กในครอบครัวนักธุรกิจสามารถลองผิดลองถูกได้โดยไม่ต้องแบกรับความกดดันมากนัก จากกระบวนการทดลอง – ปรับปรุง – เรียนรู้อย่างต่อเนื่องนี้ เด็กๆ มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้น จริงๆ แล้ว ผลกระทบจากอาชีพของพ่อแม่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลุ่มอาชีพที่กล่าวถึงข้างต้น แม้แต่ในอาชีพทั่วไป เราก็สามารถใช้ความได้เปรียบจากการทำงานของเรามาช่วยให้ลูกเติบโตและพัฒนาไปในทางที่ดีได้ ตามที่ Peter Drucker ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการกล่าวไว้ "การศึกษาที่ดีที่สุดคือการเปลี่ยนวิธีการทำงานให้กลายเป็นปัญญาของชีวิต"
ขยายความ
-
พี่ยุ พี่เลี้ยง ลูก ดิว อริสรา มาตอบแล้ว หลังหลายคนสงสัย ยังเลี้ยงน้องอยู่มั๊ย จากกรณีที่มีการพูดถึงกระแสข่าว ดิว อริสรา กับภาพลักษณ์รวยหรูจนคนอิจฉา น็อต วรฤทธิ์ พิธีกร ถามทั้ง เอมมี่ มรกต และ มดดำ คชาภา เพื่อนพิธีกรว่าในฐานะเพื่อนที่สนิทสนมกัน เราเชื่อว่าเขามีความร่ำรวยแบบนั้นไหม เอมมี่ตอบว่า “เราเชื่อ” มดดำ ก็กล่าวว่า ฉันเชื่อ เพราะดิวเป็นคนที่มาออกรายการแฉบ่อยที่สุดด้วย (เอมมี่ : เพราะเธอสนิท) จริง เพราะฉันเห็นมันมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วย กลุ่มเพื่อนเขาแต่ละคนเป็นนักธุรกิจ ดิว ก็ทำธุรกิจเยอะ ทั้งธุรกิจก่อสร้าง ผับบาร์ มีหมด แต่หลังๆ เอาจริงๆ ถ้ามันใช้เงินด้วยความเป็นดิวปกติ ที่เติบโตมาเงินเหลือๆ ถ้าช็อปปิ้งครั้งละล้านไม่เป็นไรหรอก เดือนละครั้งก็ได้ แต่มันล่อซื้อทีละ10ล้าน อันนี้ 5 ล้าน ไม่ต้องอะไรมาก ค่าเช่าบ้านเดือนละ 1.5 ล้าน อะไรลูก ช็อปปิ้ง ครั้งละล้าน เดือนละครั้ง สามเดือนครั้ง ฉันว่าเงินมันเหลือ เงินที่มันทำธุรกิจมา ฉันว่ามันมีเงินมา เงินเป็นก้อนด้วย หลังๆที่เริ่มทำคอนเทนต์ออนไลน์ มันเริ่มหนักขึ้น หนักขึ้น หนักขึ้น หนักๆๆ มันเดินหน้าแล้วมาถอยเกียร์ยังไง แล้วนางคงคิดว่าสามีจะซัพพอร์ต มันเป็นคอนเทนต์ที่ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น คนอยากมีชีวิตเป็น ดิว อริสรา นางมีแฟนดีที่เคยซัพพอร์ตชีวิตนางดี อยู่กันไปนานๆ มันโป๊ะ เอมมี่ กล่าวว่า ตอนนี้คือเขาโดนอะไรเยอะมาก เอมมี่เชื่อว่าเขาน่าจะเรียนรู้บทเรียนครั้งนี้แล้ว สำหรับเราในฐานะคนเคยรู้จักกัน เขาไม่เคยทำอะไรฉัน และฉันก็ยังมีความหวังดีกับเขานะ มดดำ ก็กล่าวว่า วันนี้พวกเราก็ยังรักมันนะ เอมมี่ กล่าวว่า ฉันสงสารมัน อยากให้มันได้มีโอกาสแก้ตัว เปลี่ยนเรื่องที่ผิดให้ถูก แต่มันต้องช่องนั้น ที่ พี่หนุ่ม กรรชัย พูดถึง ช่องว่างเล็กๆอันนั้น ให้เขาได้กลับมาใช้หนี้ ให้เขาได้หายใจ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของดิวกับสามี เอมมี่ กล่าวว่า จากที่เขาพูด แล้วก็กระแส แต่ละเพจพูดเรื่องความสัมพันธ์เขาสองคน จากที่ฟังเขาพูด (สามีเลิกมั้ย)คิดว่าไม่น่าจะดี (จากเรื่องนี้เหรอ) คิดว่าเป็นความจริงที่เปิดเผยออกมาของทั้งสองคน ไม่รู้ว่ารับได้หรือเปล่า แต่ไม่อยากอยู่กับสิ่งนี้ตอนนี้ อันนี้คิดเองคิดจากที่เรารู้จักมัน มดดำ กล่าวว่า ต่างคนก็อาจจะต่างเอ้าเหรอ ไม่ใช่เหรอ มันก็เลยเริ่มห่าง (เอมมี่ : เริ่มแตกที่ขยายกว้างขึ้นไหม) ผู้ชายก็เอาลูกไปใช่ไหม ลูกก็ไปอยู่ไต้หวัน (เอมมี่ : ลูกอยู่บ้านผู้ชาย ดิวก็อยู่ไต้หวัน) เจตนาตอนนี้อยากจะแก้ไขความผิด ต้องให้โอกาสนาง ล่าสุดหลายคนสงสัยว่าพี่ยุ พี่เลี้ยงของน้องไวลาส ยังได้ดูแล น้ิงไซลาสอยู่หรือไม่ ซึ่งทางพี่ยุ ก็ได้มาตอบกลับผ่านทางติ๊กต๊อก โดยได้บอกว่า ยังดูแลน้องเหมือนเดิมจ้า
ขยายความ
-
หนุ่มโคม่าหลัง “กินปลา” หลายอวัยวะล้มเหลว หมอเตือนส่วนที่ “ห้ามกิน” พิษยิ่งกว่าสารหนู! หนุ่มวัย 30 อวัยวะล้มเหลวหลายส่วน จากการกิน 1 ส่วนของปลา พิษร้ายแรงกว่าสารหนู แต่หลายคนกลับเข้าใจผิดว่าเป็น “ของดี” มีประโยชน์ การเชื่อในสมุนไพรที่เผยแพร่จากปากต่อปากโดยไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ได้ทำให้ชายหนุ่มวัย 30 ปีคนหนึ่งเกือบเสียชีวิตจากภาวะอวัยวะล้มเหลว เนื่องจากสิ่งหนึ่งเล็กๆ ในปลาที่อันตรายกว่าพิษจากอาร์เซนิก แม้ว่ามันจะสามารถทำให้เสียชีวิตได้หากรับประทานเข้าไป แต่หลายคนกลับเชื่อว่ามันเป็น “ยาบำรุงชั้นดี” ชายอายุ 30 ปี ที่ยังโสด และอาศัยอยู่กับครอบครัวในมณฑลกุ้ยโจว ประเทศจีน ในระหว่างการไปตกปลากับเพื่อน เขาได้ปลาคาร์พขนาดใหญ่และตัดสินใจนำมาทำเป็นหม้อไฟ ในขณะนั้นเพื่อนของเขาได้แนะนำว่าการรับประทาน จะช่วยปรับปรุงการมองเห็นและสุขภาพทางเพศชาย ซึ่งเขาจึงลองทำตามคำแนะนำในทันที ประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เขาเริ่มรู้สึกคลื่นไส้ ปวดท้อง วิงเวียนศีรษะ และอ่อนเพลียจนต้องให้เพื่อนพากลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาคิดว่าอาการที่ตัวเองเป็นอยู่นั้นคือการเมาเหล้า จึงทำการล้วงคอเพื่ออาเจียนแล้วไปนอนพักตามปกติ แต่ไม่คาดคิดว่าอาการจะทวีความรุนแรงขึ้น โดยมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ปัสสาวะลำบาก และผิวหนังมีสีเหลืองซีด ญาติจึงรีบพาส่งห้องฉุกเฉินในคืนนั้น ที่โรงพยาบาลเชื่อมโยงหมายเลข 1 ของมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง แพทย์พบว่าเขาได้รับพิษจากปลาอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะตับล้มเหลว, ไตล้มเหลว และการผิดปกติของการแข็งตัวของเลือดอย่างเฉียบพลัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่าเอนไซม์ตับเพิ่มสูงเกินค่าปกติหลายร้อยเท่า ทำให้ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตราย หลังจากการรักษาฉุกเฉินหลายชั่วโมงโดยแพทย์จากหลายแผนก โชคดีที่เขารอดชีวิตจากอันตรายครั้งนั้น แต่ต้องใช้เวลานานในการฟื้นฟูการทำงานของอวัยวะ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการรับประทานน้ำดีปลาสด ฝ่ายเพื่อนของเขาก็รู้สึกเสียใจมากที่ขาดความรู้และเกือบทำให้ชีวิตของคนอื่นตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต ตามที่นายแพทย์จู เทียน แพทย์จากแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล กล่าวว่า มีหลายคนที่เข้าใจผิด ในขณะที่ความจริงคือ เป็นอวัยวะที่มีพิษสูง เต็มไปด้วยสารพิษที่อันตราย เพียงแค่ 1 กรัมก็สามารถทำให้เกิดอาการพิษรุนแรงได้ โดยเฉพาะในปลาขนาดใหญ่ ปริมาณสารพิษยิ่งมากขึ้น ซึ่งตั้งอยู่บริเวณท้องของลำตัวปลา ใช้เก็บน้ำดีที่ถูกหลั่งออกมาจากตับและตับอ่อนของปลา และมีบทบาทในการย่อยอาหารเป็นการได้รับพิษจากอาหารที่ร้ายแรง เนื่องจากมีกรดโคลิก, กรดทาวโรโคลิก, กรดไซยาไนด์, โซเดียมคาร์ไพลซัลเฟตที่ละลายในน้ำ, ฮีสตามีน และสารพิษอื่นๆ ซึ่งสารที่อันตรายที่สุดคือ “กรดไซยาไนด์” ที่มีพิษร้ายแรงกว่าพิษจากอาร์เซนิก (สารหนู) ในปริมาณเท่าๆ กัน “สารพิษเหล่านี้ไม่สามารถถูกทำลายได้โดยการต้มหรือทำอาหาร หรือแม้แต่การดื่มเหล้า ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นน้ำดีจากปลาที่นึ่งสุก หรือน้ำดีจากปลาสดที่แช่ในเหล้า ก็ยังสามารถทำให้เกิดการพิษได้ สามารถก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงมากมาย ซึ่งยังไม่มียาแก้พิษเฉพาะทาง และอาจถึงขั้นทำให้เสียชีวิต” คุณหมอกล่าว ผู้ที่ได้รับพิษจากน้ำดีของปลา มักจะมีระยะฟักตัวที่สั้น ระหว่าง 30 นาที ถึง 6 ชั่วโมง โดยมีอาการต่างๆ เช่น ปวดท้อง อาเจียน ตัวเหลือง ปัสสาวะลำบาก และสุดท้ายอาจนำไปสู่ภาวะล้มเหลวของอวัยวะหลายส่วน หากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา อาจลุกลามจนถึงภาวะช็อกและเสียชีวิตได้ ดังนั้น ห้ามรับประทาน “น้ำดีปลา” มีพิษอันตรายยิ่งกว่าสารหนู แต่หลายคนยังเชื่อว่าเป็นยาบำรุง
ขยายความ
-
หมอยังตะลึง สาวหายขาดจาก “ไขมันพอกตับ” ใน 3 เดือน เพราะสิ่งที่กินทุกเช้า ดร.เฉียน เจิ้งหวง เล่าว่า เมื่อ 3 เดือนก่อน จาง หยุน หญิงสาววัย 30 ปี มาตรวจสุขภาพและพบว่าเป็นไขมันพอกตับ แม้ยังไม่รุนแรง แต่แพทย์แนะนำให้เธอ ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและโภชนาการ แทนการใช้ยา ล่าสุด เมื่อเธอกลับมาตรวจอีกครั้ง ผลตรวจระบุว่าไขมันพอกตับของเธอหายไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้เธอดีใจเป็นอย่างมาก ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา เธอลดน้ำหนักได้ 5 กิโลกรัม โดยไม่ได้ออกกำลังกายเลย “สิ่งเดียวที่ฉันทำคือเปลี่ยนอาหารเช้าให้เป็นเมนูเพื่อสุขภาพ” เธอเล่าให้แพทย์ฟัง เผยเมนูอาหารเช้าที่ช่วยให้หญิงวัย 30 ปีหายจากไขมันพอกตับ จาง หยุน เล่าว่า มื้อเช้าของเธอเรียบง่าย โดยมักรับประทานมันเทศ 1-2 หัว คู่กับกล้วย 1 ผล หรือบางวันก็เปลี่ยนเป็นไข่ต้ม 2 ฟอง พร้อมกับกาแฟ 1 ถ้วย เมื่อสอบถามเพิ่มเติม ดร.เฉียน เจิ้งหวง พบว่าเธอต้มมันเทศตั้งแต่คืนก่อน แล้วปล่อยให้เย็นก่อนรับประทานในเช้าวันถัดไป ส่วนกล้วยที่เธอเลือกกิน เป็นกล้วยที่สุกพอดี (เปลือกเหลืองแต่ยังมีสีเขียวเล็กน้อย) แพทย์อธิบายว่า มันเทศที่ปล่อยให้เย็นและกล้วยสุกพอดีมี “แป้งทนย่อย” (Resistant Starch) ซึ่งงานวิจัยหลายฉบับระบุว่า ช่วยควบคุมน้ำหนักและลดภาวะไขมันพอกตับได้ ความเชื่อมโยงระหว่างแป้งทนย่อยกับภาวะไขมันพอกตับ เว็บไซต์ Medical News Today อ้างถึงงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Cell Metabolism ซึ่งพบว่า แป้งทนย่อย (Resistant Starch) ช่วยลดการอักเสบและความเสียหายของตับ ส่งผลให้ภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ดีขึ้น การศึกษานี้มีผู้เข้าร่วม 200 คน ที่ป่วยเป็นไขมันพอกตับ โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก ได้รับ แป้งทนย่อยจากข้าวโพด กลุ่มที่สอง (กลุ่มควบคุม) ได้รับ แป้งธรรมดา ในปริมาณแคลอรีเท่ากัน ผู้เข้าร่วม ละลายแป้ง 40 กรัมในน้ำ 300 มล. แล้วดื่มก่อนอาหารวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 4 เดือน กลุ่มที่บริโภคแป้งทนย่อย มี ระดับไตรกลีเซอไรด์ (ไขมันในตับ) ลดลงเกือบ 40% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม เอนไซม์ตับลดลง และ อาการอักเสบของตับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในลำไส้ นักวิจัยพบว่า กลุ่มที่รับแป้งทนย่อยมีแบคทีเรียในลำไส้เปลี่ยนไป โดยเฉพาะแบคทีเรีย Bacteroides stercoris ลดลงอย่างชัดเจน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเผาผลาญไขมันในตับ ทั้งนี้ การรับประทานอาหารที่มีแป้งทนย่อยเป็นประจำ เช่น ธัญพืชเต็มเมล็ด, ถั่วต่างๆ, กล้วยดิบหรือกล้วยห่าม และข้าวหรือมันเทศที่ผ่านการหุงแล้วปล่อยให้เย็น อาจช่วยลดภาวะไขมันพอกตับได้ ตามข้อมูลจาก Medical
ขยายความ
-
หลายคนอาจคิดว่า Mark Zuckerberg ก่อตั้ง Facebook ได้สำเร็จ เพราะตัดสินใจลาออกจากฮาร์วาร์ดเพื่อมาทุ่มเทกับธุรกิจ แต่จริงๆ ไม่ใช่เช่นนั้น (อ่านรายละเอียดในคอมเมนต์)
ขยายความ
-
กรุงเทพฯ คว้าอันดับ 2 เมืองแห่งอาหารที่ดีที่สุดในโลก 2568 จากนิตยสาร Time Out
ขยายความ
-
หมอเตือน! ตื่นนอนแล้ว “ปากขม-มีกลิ่น” เป็นสัญญาณ 5 โรค แนะวิธีแก้ง่ายๆ รีบทำตาม คุณมีปัญหาเรื่องการหายใจเมื่อตื่นนอนหรือไม่? Dr.Huang Xuan แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทรวงอกและภาวะวิกฤต เตือนว่าหากตื่นขึ้นมาแต่เช้าและรู้สึกว่า “ขมและมีกลิ่น” ในปาก นั่นอาจเป็นสัญญาณของการเตือนภัยด้านสุขภาพ นอกจากกรดไหลย้อน และสุขอนามัยในช่องปากที่ไม่ดีแล้ว ยังอาจเกิดจากโรคตับอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ โรคโจเกรน หรือแม้แต่โรคเบาหวาน คุณหมอโพสต์บนแฟนเพจโซเชียล ชี้ให้เห็นว่าบางคนมีประสบการณ์รู้สึกขมและมีกลิ่นปากหลังจากตื่นนอนในตอนเช้า แม้ว่าสถานการณ์เช่นนี้จะไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะสาเหตุของกลิ่นปากอันขมขื่นน่าจะเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพ 5 ประการต่อไปนี้ กรดไหลย้อนและอาหารไม่ย่อย หากตื่นนอนตอนเช้า และพบว่ามีรสขมในปากบ่อยครั้ง พร้อมด้วยลมหายใจเปรี้ยวผิดปกติ อาจกำลังเป็นโรคกรดไหลย้อนได้ กรดไหลย้อนจะทำให้กรดในกระเพาะหรือน้ำดีกลับเข้าไปในหลอดอาหารและแม้กระทั่งเข้าไปในปาก ทำให้เกิดรสขมและไม่ดีในปาก สถานการณ์นี้มักเกี่ยวข้องกับการ “รับประทานอาหารเย็นมากเกินไปหรือดึกเกินไป” แนะนำให้หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหนักหรือมันเยิ้มก่อนเข้านอน และรอ 2-3 ชั่วโมงหลังอาหารเย็นค่อยเข้านอน การทำงานของตับและท่อน้ำดีผิดปกติ การสะสมหรือการขับถ่ายของน้ำดีไม่ดีอาจทำให้มีรสขมในปาก รสขมในปากเมื่อตื่นนอนตอนเช้า โดยจะมีอาการร่วมด้วย เช่น เหนื่อยล้า เบื่ออาหาร หรือปวดบริเวณชายโครงด้านขวา แนะนำให้ไปพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจการทำงานของตับและถุงน้ำดี ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับและถุงน้ำดี แบคทีเรียในปากมีแนวโน้มที่จะแพร่พันธุ์ในเวลากลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีปัญหา เช่น โรคปริทันต์ ฟันผุ หรือแผลในช่องปาก และกลิ่นปากจะรุนแรงขึ้น หากพบรสขมและกลิ่นในปาก แนะนำให้แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันทุกเช้าและเย็น และตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ ผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจมีอาการปากแห้ง ปากขม และกลิ่นปาก เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดไม่คงที่ สาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของคีโตนในร่างกาย ส่งผลให้มีรสหวานหรือขมผิดปกติ อาการปากขมและมีกลิ่นปาก ผู้ป่วยอาจมีอาการต่างๆ เช่น กระหายน้ำบ่อย และปัสสาวะบ่อย ขอแนะนำให้ทำการทดสอบน้ำตาลในเลือด เพื่อทำความเข้าใจการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด กลุ่มอาการโจเกรน (Sjogren’s Syndrome) คือโรคทางภูมิคุ้มกันที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อการทำงานของต่อมน้ำลาย ซึ่งอาจทำให้ปากแห้ง ปากขม และกลิ่นปากได้ ตื่นเช้ามาปากแห้งผิดปกติ และอาจกลืนลำบาก ตามมาด้วยอาการตาแห้งหรือผิวแห้ง แนะนำให้พิจารณาตรวจระบบภูมิคุ้มกันโรครูมาติก Dr.Huang Xuan สรุปว่าหากต้องการแก้ไขปัญหากลิ่นขมและกลิ่นปากในตอนเช้า คุณควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหนักหรือมันเยิ้มในตอนกลางคืน และพยายามหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารก่อนเข้านอน ไม่รับประทานอาหารมากเกินไปในมื้อเย็น และการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูงในปริมาณปานกลาง สามารถช่วยส่งเสริมการย่อยอาหารได้ นอกจากนี้ อย่าลืมแปรงฟันทุกเช้าและเย็น และใช้ไหมขัดฟันหากจำเป็น ให้ใช้น้ำยาบ้วนปากเพื่อลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยกำจัดอาหารตกค้างในปากเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการหลั่งน้ำลายและลดอาการปากแห้ง ทั้งนี้ หากเกิดอาการปากเหม็นและกลิ่นปากอย่างต่อเนื่อง ควรไปพบแพทย์ให้ทันเวลา เพื่อระบุสาเหตุและให้การรักษาตามอาการ
ขยายความ
-
เฉลยแล้ว “สัญญาNDA” ที่แท้คืออะไร หลังดราม่า ลำไย ได้ยินแต่คำนี้ จากกรณี ดราม่า “ลำไย ไหทองคำ” ที่เป็นเรื่องราวกระแสหลัก ในโลกออนไลน์ในตอนนี้ ซึ่งหลายคนคงจะเห็นคำว่า สัญญาNDA ซึ่ง สัญญาNDAคืออะไร วันนี้เรามาหาคำตอบกันเลย NDA (Non-Disclosure Agreement) หรือสัญญาการเก็บรักษาความลับ เป็นข้อตกลงทางกฎหมายระหว่างสองฝ่ายหรือมากกว่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายหนึ่งเปิดเผยข้อมูลที่เป็นความลับต่อบุคคลภายนอกโดยไม่ได้รับอนุญาต สาระสำคัญของ NDA ข้อมูลที่ต้องปกปิด – ระบุว่าข้อมูลประเภทใดที่ถือเป็นความลับ เช่น ข้อมูลทางธุรกิจ แผนการตลาด ข้อมูลลูกค้า เทคโนโลยี ฯลฯ ระยะเวลาของข้อตกลง – กำหนดว่าต้องรักษาความลับนานแค่ไหน เช่น 2 ปี 5 ปี หรือไม่มีวันหมดอายุ ข้อยกเว้นของข้อมูลลับ – ข้อมูลที่ไม่ถือว่าเป็นความลับ เช่น ข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะอยู่แล้ว หรือได้รับจากแหล่งอื่นโดยชอบธรรม ผลกระทบของการละเมิดสัญญา – ระบุบทลงโทษหากมีการเปิดเผยข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น ค่าปรับ การฟ้องร้อง ฯลฯ Unilateral NDA (ฝ่ายเดียว) – ฝ่ายหนึ่งให้ข้อมูล อีกฝ่ายต้องรักษาความลับ Bilateral NDA (สองฝ่าย) – ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลและต้องรักษาความลับร่วมกัน Multilateral NDA (หลายฝ่าย) – มีมากกว่าสองฝ่ายที่เกี่ยวข้อง NDA มักใช้ในกรณีการจ้างงาน การทำธุรกิจร่วมกัน หรือการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลสำคัญรั่วไหลไปสู่คู่แข่งหรือบุคคลภายนอก
ขยายความ
-
อนาคต การคาดหวังให้ลูกหลายมาเลี่ยงยามแก่ชรา จะยังเป็นไปได้อยู่ไหม สมัยก่อน คนแก่ชรา จะมีลูกคอยเลี้ยงดู เช็ดอึ เช็ดฉี่ให้ คนไม่มีลูก ก็ให้หลาน ลูกของพี่ ลูกของน้อง มาเลี้ยง แต่ในอนาคต แนวคิดคนสมัยใหม่เปลี่ยนไป ไม่แน่ใจว่า การคาดหวังให้ลูกหลายมาเลี่ยงยามแก่ชรา จะยังเป็นไปได้อยู่ไหม หรือ คนแก่ ที่มีลูก ไม่มีลูก ต้องไปใช้บริการ nursing home, senior home, บ้านพักคนชรากัน อนาคต ถ้าเพื่อนๆ แก่มากๆ จะฝากผีฝากไข้ใครครับ ลูกหลาน หรือ nursing home, senior home, บ้านพักคนชรา แสดงว่า คนปัจจุบัน ต้องเก็บเงินไว้ ยามแก่ชราด้วยใช่ไหม
ขยายความ
-
ทำไม มีคนไม่ยอมจ่ายค่าส่วนกลาง คอนโด หมู่บ้าน ทาวน์โฮม ครับ แล้วทำไงให้เขาจ่าย ทำไม มีคนไม่ยอมจ่ายค่าส่วนกลาง คอนโด หมู่บ้าน ทาวน์โฮม ครับ แล้วทำไงให้เขาจ่าย ใครเคยเจอปัญหา คนไม่จ่ายไหมครับ บางคน อยู่อาศัย แต่ไม่ยอมจ่าย บางคน ซื้อทิ้งไว้ เก็งกำไร ลงทุน (อันนี้เขาคงคิดว่า เขาไม่ได้อยู่ เลยมีสิทธิ์ไม่จ่าย) แต่ก็ไม่ถูก ตามหลัก อยู่ ไม่อยู่ ก็ต้องจ่าย
ขยายความ
-
พนักงานลาออกบ่อย เพิ่งเปิดร้านหมูกระทะได้ 5 เดือน พนักงานลาเข้าๆออกๆบ่อยมาก เหนื่อยใจมากไม่รู้ต้องทำยังไง -พนง.บอกเงินเดือนน้อย -เราให้วันละ 350 หัวหน้างานให้ 400 งานหนัก ร้านเราเพิ่งเปิด มีโต๊ะอยู่แต่ 14-15 โต๊ะ บางวันขายไม่ได้เลย อาทิตย์หนึ่งขายดีแค่ ศ ส อา ตอนนี้แรกมี พนง 4 คนเราเพิ่มเป็น 5 คน 6 คน และ 7 เพราะน้องๆบอกเหนื่อยทำไม่ทัน (แค่ ศ ส อา ) หลังวันอื่นๆน้องๆนั่งว่าง เราเลยลดคนเหลือ 6 คน 1 สลับกันหยุด น้องๆไม่โอเค จะเอา 7 คน เราไม่รับเพิ่มน้องๆบ่นเหนื่อย (จะเหนื่อยตอนลูกค้าเข้ามาตูมเดียวแค่นั้นหลังจากนั้นว่างวันไม่มีคนนั่งว่างไม่พูดถึง) ล่าสุดหัวหน้างานลาไปเที่ยวเราให้ลา 3 วัน กลับมาทำงานเราตามงานค้างวันที่น้องกลับมาทำงานแล้ว (สรุปว่าใครมาทำงานบ้างจะได้จ่ายค่าแรง) น้องไม่โอเค ไม่พอใจบอกเราไม่รุ้หรอกไม่ได้มาทำงาน เราต่อว่าไปว่าวันหยุดเราไม่ตามงานเลย พอมาทำงานเราก้อตามงานที่ค้างไว้ปกติ แต่ตอบเราแบบนี้เราก้อไม่โอเค อีกวันน้องลาออกแบบไปเลยไม่บอก -ร้านเราทำงาน เข้างานบ่าย3 - เลิกงานเที่ยงคืน เลี้ยงข้าวฟรี 1 มื้อ เครื่องดื่มกดกินบุฟเฟ่ต์ในร้าน เริ่มมีปัญหา เลือกเมนูฉันจะกินเมนูนี้เธอจะกินเมนูโน้น กินมือเดียวไม่อิ่มจะกินบ่าย 1 มื้อ ค่ำ 1 มื้อ เลือกกินแต่ของดีๆ และเอากลับบ้าน มีการกดน้ำมากินแต่กินไม่หมด ทิ้งๆขว้างๆ บางคนเลิกงานกดกลับบ้าน บางคนไม่กินน้ำเปล่าเลย กินแต่น้ำอัดลมถึงแม้ว่าวันนั้นจะไม่พอให้ลูกค้าก้อไม่สนใจกดกินกันไม่เผื่อแผ่ลูกค้าจนต้องขอความร่วมมือว่าวันนี้ลูกค้าเยอะขอให้งดกินน้ำอัดลมกลัวไม่พอให้ลูกค้า ล่าสุดตัดปัญหา ข้าวหุงให้1 หม้อเต็มๆ กับข้าวจำกัดให้ เอาเนื้อไปได้ ครึ่งโล/วัน ต่อคน3 -4 คน (ปกติน้องเอาไป 1.5-2 โล ) น้ำอัดลมงดไม่ให้กิน -ความสะอาด โดนลูกค้าคอมเพลนเรื่องจานแก้วช้อนไม่สะอาด3-4 ครั้ง(ภายใน 5 เดือน) ตักเตือนก้อแล้ว ขู่จะหักเงินก้อแล้ว ไม่เป็นผลต่อว่าแรงๆไม่พอใจ -ความสดสะอาดอาหาร การจัดเก็บอาหาร ของสด ความสะอาดโดยรอบ ตักเตือนกันตลอด เหนื่อยใจสุดๆ 5 เดือนนี้ ทั้งเครียดเรื่องคนทั้งเครียดเรื่องค่าใช้จ่าย เราลองปล่อยให้น้องๆจัดการเมเนจกันเองเพราะบางทีถ้าเราเข้าไปพูดบ่อยๆ น้องอาจจะอึดอัด สรุป เละ ห้องครัว อุปกรณ์ สกปรก อาหารที่เสริฟ เสริฟตามใจฉัน พอเข้าไปพูดน้องก้อไม่พอใจ เห้ออออออออออออ
ขยายความ
-
ชีวิตหลังแต่งงานมีใครเป็นแบบนี้บ้างค่ะ ก่อนอื่นจะขออนุญาตเล่าเรื่องให้เพื่อนๆฟังก่อนนะค่ะ อาจจะยาวหน่อยแต่อยากหาคำตอบ หาคำปรึกษา หาคำแนะนำจากเพื่อนๆค่ะ เพราะเรื่องบางเรื่องเราไม่สามารถเอาไปบอกหรือปรึกษาคนใกล้ตัวเราได้ ได้แต่เก็บไว้คนเดียวและมันก็รู้สึกอึดอึดม่กๆค่ะ >>>>>>เริ่มเลยนะค่ะ พอดีส้มแต่งงานกับแฟนมาได้จะ2เดือนเต็มอีกไม่กี่วันนี้ค่ะ เราอาศัยอยู่ด้วยกันที่บ้านตามปกติเหมือนคู่อื่นๆเลยค่ะ เราเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน2คนค่ะ ก่อนหน้านี้เราหลังแต่งงานเราสองคนได้ไปเที่ยวพักผ่อนด้วยที่ต่างจังหวัดด้วยกันนานเป็นอาทิตย์เลยค่ะ มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากๆ มากๆค่ะเพราะความรู้สึกหลังจากแต่งงานกันแล้วมันไม่เหมือนตอนคบกันเป็นแฟน แต่ไปเที่ยวมีครอบครัวแฟนไปด้วยนะค่ะ แต่ครอบครัวของส้มไม่ได้ไปค่ะ ทุกอย่างมันมีความสุขมากๆค่ะ จนไม่อยากให้เวลามันผ่านไป และพึ่งเข้าใจคำว่าอยากหยุดเวลาไว้ก็เป็นช่วงนี้เลยค่ะ เพราะแฟนส้มดูแลใส่ใจส้มทุกอย่าง และแฟนก็ดูรักและเอาอกเอาใจส้มดีมากๆค่ะ ขนาดตอนเป็นแฟนกันเขาก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ค่ะ บางครั้งส้มก็รู้สึกกลัวค่ะว่าหลังจากทริปเที่ยวนี้แล้วและเรากลับมาอยู่บ้านด้วยกัน2คนแฟนส้มจะเปลี่ยนไปค่ะ เพราะตอนไปเที่ยวกับตอนอยู่ที่บ้านด้วยกัน2คนเขาเหมือนคนล่ะคนเลยค่ะ *****ความรู้สึกเสียใจก็เริ่มเกิดขึ้นค่ะ หลังจากเราได้มาใช้ชีวิตด้วยกัน2คนจรืงๆที่บ้าน ทุกคนค่าาาแบบนี้มันปกติมั้ยค่ะ เพราะส้มก็ไม่เคยใช้ชีวิตอยู่กับ ผช มาก่อนส่วนมากก็อยู่คนเดียว อยู่กับเพื่อน มีแฟนแต่ก็ไม่ได้อยู่กับแฟนมาก่อน แต่พอมีแฟนและแต่งงานก็ได้มาใช้ชีวิตกับแฟน ชีวิตหลังแต่งงานเมื่อเราอยู่ด้วยกันคือแฟนส้มไม่ปกติเหมือนคนรักกันทั่วไปค่ะ เขาไม่มีหิวอยากอยู่ใกล้ส้ม ไม่มีอยากกอด อยากหอม ไม่มีอยากนอนใกล้เลย และก็ไม่มีอะไรกันด้วยกันค่ะ นอนก็นอนห่างกันมากค่ะ คือส้มงงค่ะ ทุกคนว่าทำไมเป็นแบบนี้ ส้มเคยถามแฟนค่ะว่าเป็นอะไร เขาพูดว่าไม่ชอบที่ส้มใจร้อนค่ะ เพราะเวลาส้มใจร้อนส้มจะพูดเสียงดัง ถ้าเทียบกับแฟนส้มแล้ว ดูยังไงแฟนส้มก็คือคนที่ขี้หงุดหงิด พูดเสียงดัง ชอบตะคอกเสียงใส่ส้มด้วยซ้ำแต่ส้มไม่ได้เก็บเอามาคิด ต่อให้ไม่ชอบขนาดไหนส้มก็ยังมองว่าเขาคือคนที่ส้มรัก เราแต่งงานกันแล้ว ส้มทองข้ามไปหมดค่ะและก็อยากอยู่ใกล้อยากกอดอยากหอมอยากทำสื่งต่างๆให้แฟนอยู่ค่ะ ยิ่งแต่งงานกันแล้วยิ่งรักยิ่งอยากดูแลเขาเขา แม้ว่าเจาจะมีข้อเสียมากมายที่เราไม่ชอบแต่คือส้มให้อภัยเขาหมดไม่เอามาเก็บเป็นอารมณ์ค่ะ แต่แฟนส้มเจาพูดว่าเขาไม่ชอบส้มใจร้อน แค่นั้นค่ะนอกนั้นส้มดีหมด ส้มงงค่ะทุกคนแค่ใจร้อนพูดเสียงดัง แต่ส้มก็ไม่ได้พูดดังมากเพราะไม่ชอบพูดอะไรให้ข้างบ้านได้ยินด้วย ทุกคนคิดดูว่ามันจะดังแค่ไหนกันเพราะส้มก็เบาเสียงตัวเองทุกครั้งซึ่งต่างจากแฟนมาก การกระทำของแฟนคือเขาไม่อยากใกล้เราเลย ตั้งแต่แต่งงานมามีอะไรกันแค่ครั้งเดียวค่ะ เหมือนพอเป็นพิธีค่ะ ขอคำแนะนำหน่อยนะค่ะทุกคน ส้มอึดอัดและรู้สึกทุกข์ใจกับคู่ของส้มมากๆเขาไม่มีการพูดถึงอนาคตด้วยกัน ไม่มีการวางแผนครอบครัวิะไรเลย เพราะเขาให้เหตุผลว่าไม่อยากให้ลูกเกิดมามีครอบครัวที่พ่อแม่ทะเลาะกันค่ะ ส้มงง คือทะเลาะอะไรกันก่อน ก่อนจะแต่งงานเขาเลี้ยงแมว อยู่กับแมวนอนกับแมวมาก่อน มันพอจะเป็นเหตุผลมั้ยค่ะว่าเขามีแมวแล้ว เลยไม่อยากมีครอบครัวหรือไม่อยากมีลูก เวลามีปัญหาอะไรเขาไม่เคยหันหน้ามาแก้ไขปัญหาเลยค่ะ มีแต่ส้มที่คอยพยายามอยู่ฝ่ายเดียว เขาอยู่กับแมว ทุกที่ โดยที่ไม่มีส้มก็ได้ค่ะทุกคน ส้มงงกับการกระทำแบบนี้ค่ะพอส้มถามเขาก็บอกว่าไม่ชอบที่ส้มใจร้อนค่ะใจร้อนครั้งเดียว2ครั้งคนรักกันมันเปลี่ยนไปได้ขนาดนี่เลยหรอ ส้มเหนื่อยมากๆค่ะกับคู่ชีวิตแบบนี้ ส้มควรทำยังไงดีค่ะทุกคน ส้มควรแก้ไขปัญหายังไงค่ะ ส้มขอคำปรึกษา ขอคำแนะนำจากเพื่อนๆหน่อยนะค่ะ เพราะส้มอยู่กับแฟนส้มไม่ได้รับความรักความอบอุ่นที่มันควรจะเป็นปกติเหมือนคู่อื่นๆเลยค่ะมันแปลกมากค่ะ
ขยายความ
-
เริ่มจ่ายหนี้ไม่ไหว ทำยังไงดี ตอนนี้เริ่มผ่อนหนี้บัตร สินเชื่อ ไม่ไหว ทำยังไงได้บ้าง ตอนนี้พยายามจ่ายได้ปกติ แต่ต้องมานั่งขอสินเชื่อใหม่ตลอดจนเริ่มผ่อนไม่ไหว จะเข้าโครงการแก้หนี้อะไรก็ไม่ผ่านเกณฑ์ อุสาจะหาวิธีเพราะอยากจ่ายให้จบๆไม่อยากค้างสักเดือน แต่ไม่ผ่านเกณฑ์สักอย่าง ถ้าเริ่มไม่จ่าย ก็คงต้องทำใจ เพราะไม่ผ่านเกณฑ์สักธนาคาร เพราะต้องมีหนี้ค้างชำระ แต่นี้พยายามจ่ายตรงทุกเดือน แต่ตอนนี้เริ่มไม่ไหวแล้ว ทำยังไงได้บ้างครับ ถ้าโครงการแก้หนี้อะไรไม่ได้เลย ว่าจะปล่อยไม่จ่ายแล้ว
ขยายความ
-
ทะเลาะกับแฟนเพราะทำบุญ
ขยายความ
-
ความรัก 8 ปี ที่จบด้วยการห่างกันแค่ปีเดียว สวัสดีครับ ปีนี้อายุ 25 ปี ผมคบกันแฟนมาตั้งแต่อายุ 17 อยู่ด้วยกันมาสู้ด้วยกันมาตั้งแต่ตอนลำบากๆ จนชีวิตดีขึ้น จนเมื่อ 2 ปีที่แล้วเราก็ตั้งใจจะซื้อบ้านกัน เราจดทะเบียนสมรสและซื้อบ้านร่วมกันเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เราจัดงานแต่งกัน ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี และแล้วค่าใช้จ่ายต่างๆสูงขึ้น เราจัดการการเงินได้ไม่ดี เราเลยตัดสินใจไปทำงานผีน้อยที่เกาหลีเนื่องจากแม่แฟนก็ทำอยู่ที่นั่นเขาจะหางานให้ หลังจากไปเราทำงานกันที่โรงงานแต่เราก็ทำงานนั้นไม่ไหว แฟนเราได้ย้ายมาอยู่ที่ร้านอาหารกับแม่เขา ส่วนผมเขาให้ทำที่เดิม จนผมทำไม่ไหวแล้วร้านอาหารก็ไม่รับคนเพิ่ม ผมจึงขอกลับ เลยคุยกันแฟนว่าเรากลับกันไหม แต่แฟนจะอยู่ต่ออีกหน่อยสัก ปีสองปี เราจึงสัญญากันว่าจะบินกลับตามมาทีหลังจากนั้นผมก็กลับมาทำงานปกติที่ไทย พิมแชทหากันตอนเย็นโทรหากันวีดีโอคอลตอนกินข้าวเย็นกันตลอดทุกวัน ส่วนเงินเดือนผมก็โอนให้แฟนประมาณเดือนละ 4,000 ที่เหลือเอาไว้กินใช้(เงินเดือนหมื่นนิดๆ) และแล้วเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2568 เขาได้ส่งข้อความมาว่า "เราเลิกกันเถอะ ไม่อยากจ่ายอะไรต่อแล้ว" ผมก็เลยคอลไปคุยให้รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นก็ได้ใจความทั้งหมดว่า เขาเหนื่อยไม่อยากจ่ายอะไรแล้วอยากสร้างชีวิตตัวเองแล้วจะทิ้งทุกอย่างแล้วไม่กลับมาไทยแล้ว เพราะเขารักคนอื่นไปแล้ว ผมก็ถามว่ารักใคร สรุปได้ว่าเขารักกับลูกชายเจ้าของร้านอาหารที่เขาทำ เขาบอกว่าคนนั้นซัพพอทเค้าดีกว่า ซื้อของให้อะไรให้ เขาไม่ต้องพยายามดีนี่หว่า และเขาก็บอกเลิกผมภายในคืนวันนั้นเลย ทั้งที่ตอนเช้าตอนเย็นยังคุยกันปกติอยู่เลย พอตกกลางคืนอยู่ๆก็รีบมาบอกเลิกแบบฟ้าผ่า (แต่ช่วงหลังที่ผ่านมาก็สังเกตุได้ว่าเค้าเข้านอนไวกว่าปกติ และก็ชอบบอกน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ) สุดท้ายเราก็จบกันโดยบ้านที่กู้ร่วมกันมาเขาจะทิ้งไว้และบอกให้จัดการคนเดียว แต่ผมไปถามธนาคารแล้วเขาบอกว่าจะขายเลยก็ไม่ได้เพราะต้องเซ็นร่วมกัน แต่ละเขาไปแบบผีไม่มีทางกลับมาเซ็นได้หรอก และธนาคารแนะนำว่าให้ฟ้องหย่าก่อนแล้วอาจจะขายคนเดียวได้ พี่ๆแนะนำหน่อยครับว่าสามารถจัดการปัญหาตรงนี้ยังไงดี และทะเบียนสมรสที่ค้างอยู่จะทำยังไงดี ปล.ส่วนเรื่องแฟนผมทำใจได้แล้วและคิดไว้ว่าเขาเจอคนที่ดีเขาไปสบายก็ดีแล้ว
ขยายความ
-
เราควรทำยังไงกับความรักเกือบ10ปี ที่ที่บ้านแฟนไม่ยอมรับในตัวเรา สวัสดีค่ะ คำถามก็ตามชื่อเรื่องเลยค่ะ เราคบกับแฟนมาเกือบ10ปีแล้วค่ะ (แต่ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันหรือใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแค่นั่งรถไปทำงานด้วยกัน) เราคบกันตั้งแต่สมัยเรียนด้วยกันจนตอนนี้ต่างคนต่างทำงานแล้ว ตลอดเวลาที่คบกันส่วนตัวไม่ค่อยได้ไปเจอที่บ้านแฟนเท่าไหร่ค่ะ นานๆทีจะมีโอกาสได้ไปเจอตามช่วงเทศกาลก็จะมีซื้อของไปให้ ไปไหว้บ้างอะไรแบบนี้ค่ะ แต่ที่บ้านเขาก็นิ่งๆไม่ได้ว่าหรือพูดอะไรค่ะ ที่ผ่านๆมาเราก็มั่นใจว่าวางตัวดีมากๆมาแต่แรกเลยค่ะ จนมาช่วงที่คบได้ประมาน4-5ปี เราได้คุยกับแฟนเรื่องที่บ้านค่ะ เพราะเรารู้สึกว่าที่บ้านไม่ค่อยโอเคกับเราเวลาที่แฟนจะออกไปไหน หรือเวลาเจอเราจะดูไม่ค่อยโอเค จนแฟนไปคุยแล้วได้คำตอบว่า เขาไม่ค่อยโอเคกับเราค่ะด้วยบุคคลิกของเราเป็นคนแรงๆดูไม่เรียบร้อยที่บ้านแฟนเลยเป็นกังวลว่าเราจะจับแฟนเราที่บ้านแฟนเลยขอเวลาที่จะทำใจเรื่องของเรา2คน และด้วยเพราะอยากให้แฟนเรามีการทำงานทำก่อนและทำเรื่องสำคัญของความเป็นลูกผู้ชายให้เสร็จก่อน ซึ่งเราโอเคค่ะที่จะรอแล้วก็เข้าใจที่บ้านของแฟนค่ะ ระหว่างช่วงนั้นเราก็พยายามทำนู้นนี่ซื้อของให้บ่อยขึ้น หาโอกาสไปเจอบ่อยๆแต่ส่วนมากไม่ได้ไปเพราะแฟนไม่ให้ไปค่ะ เหตุคือที่บ้านเขายังไม่โอเคที่จะเจอเราค่ะ จนมาถึงช่วงที่แฟนเรามีงานสำคัญของแฟน1-2ครั้ง ซึ่ง1-2ครั้งนี้ที่เราไปและพาครอบครัวเราไป ที่บ้านแฟนไม่ให้เกียรติคนในครอบครัวเราเลยค่ะ ทั้งการไม่รับไหว้ ไม่มีการมาต้อนรับ เราคิดว่าอะไรแบบนี้มันเป็นพื้นฐานและสำคัญมากค่ะ เราได้พูดคุยกับแฟนแล้ว คำตอบก็แบบเดิมเลยค่ะ ยังไม่โอเคกับเรา กลัวเราจะปล่อยท้องกลัวแฟนเราจะเสียอิสระในชีวิตซึ่งเราขอไปเจอที่บ้านค่ะ แต่ที่บ้านแฟนขอเวลาทำใจยังไม่พร้อมที่จะเจอเราค่ะ แล้วก็ขอให้ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ จนตอนนี้เราก็ยังไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหากับเรื่องที่ผ่านๆมาได้เลยค่ะ เราอยากขอความคิดเห็นจากทุกคนค่ะ ว่าเราควรจะทำยังไงต่อดีค่ะ ใจนึงก็อยากถอยใจนึงก็อยากลองไปให้สุดค่ะ
ขยายความ
-
รอผู้ชายที่มีครอบครัว แล้วบอกว่ากำลังจะหย่ากับภรรยา มีความเป็นไปได้แค่ไหนคะ อยากรู้ว่าผู้ชายที่มีครอบครัวแล้ว บอกว่ากำลังจะหย่ากับภรรยา มีกี่%ที่หย่ากันจริงๆคะ แล้วมีใครบ้างที่สมหวังกับการรอคอยแบบนี้บ้าง ไม่ได้ถามเพราะจะหาข้อมูลเพื่อสนับสนุนตัวเองหรอกนะคะ แต่จะมาเตือนสติก็ได้ค่ะ ขอบคุณ
ขยายความ
-
กำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่ ตัดสินใจเลิกกับแฟนที่คบมา 9ปี สวัสดีค่ะ พี่ๆเพื่อนๆทุกๆคน ต้องการแนวทางและกำลังใจค่ะ ตอนนี้กำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ เพราะได้ตัดสินใจเลิกกับแฟนที่ครบมาก 9 ปีแล้วค่ะ ขอเล่าย้อนไปนิดนึงนะคะ เราเป็นเด็กต่างจังหวัดค่ะ เข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ และคบหากับแฟน มาตั้งแต่เรียน จนทำงาน และเราได้ซื้อบ้านด้วยกัน ตอนช่วงโควิด เราได้(สมัครใจ)ลาออกจากงานประจำ และได้เงินก้อนหนึ่งตอนออกจากงานมา เราตั้งต้นขายอาหารออนไลน์( เดลิเวอรี)กลายเป็นอาชีพหลัก และไม่ได้กลับไปทำงานประจำอีกเลย เราอยู่บ้านหลังนี้มา 5 ปีแล้วค่ะ และตัดสินใจแยกทางกัน และเราไม่เอาบ้านหลังนี้ค่ะ เรากำลังจะกลับไปอยู่ต่างจังหวัดกับแม่ค่ะ สิ่งที่คิดหนักมากๆคืออาชีพและเงินค่ะ มีเงินเก็บน้อยมาก มีหนี้บัตรและหนี้รถ รวม 2 รายการนี้ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ เกือบสองหมื่นบาทค่ะ และเราต้องเก็บข้าวของ ย้ายกลับต่างจังหวัดด้วยค่ะ คิดว่าต้องเช่ารถหกล้อ มาขนของ ไม่แน่ใจว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ กลัวเงินเก็บที่มีจะไม่เพียงพอต่อกันดำรงชีวิต ได้ไม่เกิน 3 เดือน กลัวตั้งตัวไม่ได้จังเลยค่ะ ขอแนวทางการค้าขาย(ตลาดนัดต่างจังหวัด) โดยปกติเลย เราเป็นไม่ค่อยชอบเข้าสังคมค่ะ ชอบขายออนไลน์มากกว่าเพราะไม่ค่อยได้เจอใคร แต่ที่บ้านต่างตังหวัดไม่มีเดลิเวอรี่เลยค่ะ เลยไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี และต้องการกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อค่ะ ขอบคุณล่วงหน้า สำหรับกำลังใจนะคะ :')
ขยายความ
-
คิดยังไงกับนายจ้างที่ไม่ยอมจ่ายค่าจ้างสูง อาจเป็นเพราะพนักงานความสามารถไม่พอ? หลายคนมองว่าเงินวันละ 400 หรือเดือนละ 15,000 ไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ซึ่งก็อาจจะจริงในบางแง่มุม แต่เมื่อพูดถึงการลดค่าใช้จ่ายชั่วคราว (Short Term) กลับมีการกล่าวโทษสังคมว่าไม่ให้คนจนมีคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น การกินหมูกระทะยังถูกด่าว่าเกินตัว แต่ในขณะเดียวกัน หากเสนอแนวทางให้เพิ่มรายได้ (Long Term) กลับถูกมองว่ารายได้ 15,000 นั้นไม่ควรต่ำขนาดนี้ตั้งแต่ต้น
ขยายความ
-
เพื่อนๆคิดว่าเครื่องฟอกอากาศจำเป็นกันมั้ยคะ และคนที่มีวางไว้จุดไหนในพื้นที่บ้านกันบ้าง? ส่วนตัวเจ้าของเวิร์สคิดว่าเครื่องฟอกอากาศยังจำเป็นอยู่ค่ะ มีซื้อติดไว้ที่บ้านเครื่องนึงวางไว้ที่ห้องนอน ตามสภาพอากาศที่พบเจออยู่ ณ ตอนนี้ คิดว่าถ้าพอมีกำลังซื้อได้แบบไม่เดือดร้อนก็ควรมีไว้ติดบ้านซักหน่อยค่ะ เลือกฟังก์ชั่นและราคาที่เหมาะสมตามงบของเรา มีติดบ้านไว้ซักเครื่องสองเครื่องเพื่อความอุ่นใจ เพื่อนๆคิดว่าเครื่องฟอกอากาศจำเป็นกันมั้ยคะ และคนที่มีวางไว้จุดไหนในพื้นที่ตัวบ้านกันบ้าง มาแชร์กันค่ะ
ขยายความ
-
แฟนใช้เงินเกินความจำเป็น เราไม่รู้จะเริ่มต้นเล่าเรื่องยังไงเลยค่ะ คือเรื่องมันเพิ่งเกิดก่อนที่เราจะมาเขียนเล่าลงพันทิปเมื่อกี้เลย เรารู้สึกว่าแฟนเราซื้อของเกินความจำเป็นไปค่อนข้างมากเลยทีเดียว คือแฟนเราอาบน้ำอยู่แล้วเราดันไปเห็นของที่แฟนซื้อมาเป็น Airpods Adapter USB น่าจะไว้ชาร์จสำหรับAirpods นั่นแหละค่ะ คือเราก็ไม่รู้หรอกว่าของมันมีอะไรบ้าง เราดูใบเสร็จมันรวมแล้วราคาก็6พันกว่าเท่าไหร่ไม่รู้แต่เยอะมาก เรายังไม่ทันได้ดูรายละเอียดสินค้าทั้งหมดแค่เห็นราคาก็ตกใจแล้ว เราเลยถามแฟนพอแฟนเห็น แฟนก็รีบเอาใบเสร็จจากมือเราเอาไปทำลายโดยการเปิดน้ำใส่แล้วก็โยนลงไปในชักโครก ตอนนี้คือเราเสียความรู้สึกกับแฟนมาก แฟนเราค่อนข้างที่จะเป็นคนติดแบรนด์ซึ่งต่างกับเรา ใช้ของอะไรก็ได้ที่ราคาประหยัดพอใช้ได้ พอทำแบบนั้นเสร็จแฟนก็พูดว่าเราสามารถเลี้ยงเธอได้น่ะ ไม่ต้องห่วงเราแค่อยากใช้ของดีๆบ้าง ตอนแรกเราก็พยายามคิดว่านั่นมันเงินเขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขา แต่เราก็แอบคิดนะคะว่า ทำอะไรทำไม่ปรึกษากันเลย ของใช่ว่าจะถูกๆ บอกกันสักนิดนึงก็ได้ เราคิดไปถึงในอนาคต ถ้าต้องใช้ชีวิตอยู่กันเป็นครอบครัว แล้วเขาทำอะไรโดยที่ไม่ปรึกษาเราอีกล่ะจะทำยังไง เงินซื้อAirpods สามารถจ่ายค่าห้องเราทั้งคู่ได้ทั้งเดือนเลยนะ เราเองจะซื้อของให้ตัวเองยังคิดแล้วคิดอีกเลย แล้วดูแฟนเราใช้เงินสิ บางทีจะใช้จ่ายในแต่ละวัน เรายังต้องคำนวณเลยว่าใช้เท่าไหร่เงินถึงพอต่อเดือน จนทำให้เรามีความคิดที่อยากจะเลิกกับแฟนไปเลย เพราะการใช้ชีวิตของเราอาจจะไม่ได้เหมือนกันหรือมีเป้าหมายที่คล้ายกัน บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระนะคะ แต่เรามองว่าในอนาคตถ้ามีเรื่องใหญ่กว่านี้แฟนเราจะกล้าบอกเราไหม
ขยายความ
-
คนที่มีแฟนแล้ว เวลาเจอคนอื่นที่ตรงสเปค คิดหรือรู้สึกอะไรกันหรอคะ คือแฟนเราน่าจะชอบสาวหมวยน่ารักๆค่ะ ส่วนเราไปทางคมๆ ผิวกลางๆ ตัวสูง เลยแอบคิดว่าถ้าแฟนเจอคนที่ตรงสเปคจริงๆ จะอยากได้อยากมีแบบนั้นบ้างไหม เพราะเราไม่ได้เป็นแบบที่เขาชอบ แต่ที่ผ่านมาแฟนดูรักเรามากๆ ชมเราว่าสวยตลอด แต่ลึกๆแล้วเราเองก็รู้สึกไม่มั่นใจเลยค่ะ คิดว่าตัวเองไม่สวย TT เลยอยากรู้ว่าเพื่อนๆ เวลามีแฟนแล้วแต่เจอคนสวยๆตรงไทป์ รู้สึกยังไงกันหรอคะ
ขยายความ
-
คบกันมา 7 ปีแต่แค่รักมันคงไม่พอ ผมกับแฟนคบกันมาตั้งแต่ มหาลัยปี 1 จนตอนนี้ก็ประมาณ 7 ปี หลังจากจบมหาลัยผมก็เริ่มทำงานทันทีผมทำงานประจำมาได้ประมาน 3 ปี เงินเดือนประมานเดือนละ 18-20k ส่วนแฟนผมธุรกิจส่วนตัวตั้งแต่จบมาได้เงินประมานเดือนละ 500k ขึ้นอยู่กับยอดขายของ เราทั้งสองยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่พาพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายมาคุยแล้วรับทราบด้วยกันแล้ว แฟนผมอาศัยอยู่กับพ่อแม่เหมือนกับผม ผมทำงานเป็นแบบ WFH ปกติผมจะไปหาอยู่บ้านแฟนปีละ 5-6 เดือน สลับกลับบ้านมาอยู่ดูแลพ่อแม่ ไม่นานนี้เราเรื่องคุยกันเรื่องอนาคตกันบ้าง เช่นเรื่องการแต่งงาน แต่คำตอบที่ผมได้ยินเริ่มทำให้ผมคิดว่าจริงๆแล้วเธอได้รักผมบ้างหรือป่าว เขาบอกว่าอยากแต่งงานตอนอายุประมาณ 35-40 หรืออาจจะไม่แต่ง ต้องรอดูพฤติกรรม(การใช้เงินของ)ผมก่อน? ซึ่งเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นหลังจากที่เราได้ไปเที่ยวตปท.แล้วกลับมาบ้าน ซึ่งเงินเก้บของผมเกือบทั้งหมด หมดไปกับทริปนี้ แฟนผมอยากพักที่ดีๆวิวสวยๆ(ค่ารร.คืนละ 10000 ++ พักไป 2 คืน) เที่ยวแบบกินหรูอยู่แพง แต่ก็ไม่ทั้งหมด ทริปนี้เราตกลงกันว่าจะหาร 2 ทุกอย่าง (ค่ารร. ค่ากิน) แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็ต่างคนต่างเลี้ยงซึ่งงบในการเที่ยวทั้งหมดเราเท่ากัน แต่แฟนผมได้เครื่องสำอางติดมือกลับไปประมาณ 10000 บาท ++ ส่วนผมได้ ฟิกเกอติดมือไปประมาน 2000 บาท ซึ่งหมายความว่าทริปนี้ส่วนใหญ่ผมจะเป็นคนจ่ายก่อน (ค่าเช่ารถ 3-4วัน ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน) ซึ่งผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะถือว่าเป็นการได้ไปเที่ยวกับแฟนผม แต่ช่วงท้ายๆทริปก็แฟนผมจะจ่ายพวกค่ากินเพราะผมหมดเพราะจ่ายไปช่วงต้นๆของทริปไปแล้ว แต่หลังจากกลับมาจากทริปไม่กี่วันผมก็ลงสตอรี่พอตลงทุนของผม หลังจากนั้นเธอก็ไม่คุยกับผมไปประมาน 3 วัน จนยอมคุยกับผม ผมถึงรู้ว่า เธอน้อยใจที่หลังๆมานี้ผมไม่ค่อยได้ treat(เลี้ยง) เธอมากเท่าที่ควรจนเธอคิดว่าเธอไม่สำคัญ ซึ่งจริงๆ ผมก็เลี้ยงปกติเท่าที่ผมไหวเช่นไปกินข้าวกัน มื้อละ 400 500 ผมก็จ่ายเองตลอดแค่ไม่ได้บอกออกมาว่าเลี้ยงซึ่งเมื่อก่อนผมจะบอกว่าเลี้ยง ซึ่งผมก็เข้าใจในจุดนี้ว่าผญ.เขาอาจจะอยากมี moment แฟนเลี้ยงบ้างแต่ เนื่องด้วยปีนี้ผมเก็บเงินอย่างหนักเพื่อที่ไปเที่ยวตปท.ครั้งแรกของผมกับแฟนไม่ติดขัดใดๆ ผมจึงมีบางครั้งที่ผมขอหารครึ่งในสิ่งที่บางครั้งผมไม่ไหว เช่น ค่ารร.ตอนไปเที่ยวตจว.(4000-6000) หรือ อาหารมื้อละ 1000++ ทุกครั้งที่ผมไปบ้านแฟน แฟนผมจะชวนไปเที่ยวตจว. ซึ่งแต่ละครั้งไป 3-4 วัน หมดเงินไปประมาน 15-20k ตลอด หลังจากนั้นก็คุยเรื่องอนาคตรวมไปถึงเรื่องแต่งงาน ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกสงสัยว่าจริงๆแล้วเธอได้รักผมบ้างหรือป่าวหรือรักเพียงแค่คนที่สามารถเลี้ยงดูเธอได้ ผมยอมรับว่าผมยังหาเงินได้ไม่เท่าเธอในตอนนี้ แต่ผมก็พยายามอยู่ตลอด วันไหนที่ผมทำงานกะบ่ายหรือดึกช่วงเช้าผมก็จะไปวิ่ง grab car ก่อนแล้วกลับมาทำงานต่อ หลังจากเลิกงานผมก็จะทำโปรเจคที่คิดว่าจะสามารถหาเงินได้ในอนาคต(side hustle)วันละ 3-4 ชม. ศึกษาลงทุน เก็บออมทุกๆเดือน ไม่เที่ยว ไม่ดื่ม ไม่สูบบุหรี่ เงินทุกบาทที่ผมหาได้แทบจะเรียกว่าใช้กับแฟนผมอย่างเดียวเลยก็ได้ ยังดีที่ทางบ้านผมไม่ได้ลำบากอะไรไม่ต้องส่งเงินให้พ่อให้แม่ แล้วผมกำลังจะวางแผนสอบภาษาเพื่อที่จะไปเก็บที่ออสของโครงการ work and holiday อีก มาถึงตรงนี้ผมก็ไม่เคยขอเงินเธอใช้ ยืมเงิน หรือยุ่งเกี่ยวกับเงินของเธอแม้แต่บาทเดียว แล้วผมก็ไม่ได้ต้องการอะไรจากเธอด้วยนอกจากกำลังใจ การซับพอร์ต แบบที่คนรักเขามีให้กัน แต่นี่เธอนอกจากจะไม่ได้ให้กำลังใจผมแล้ว ยังคอยลงสตอรี่ แซะ กระแนะกระแหน ผมอีก เวลาผมไปบ้านแฟน แฟนก็ชวนไปเที่ยวตจว. ซึ่งผมก็ไม่เคยปฏิเสธ เธออาจจะมีปมที่พ่อเธอไม่เลี้ยงดูแล้วเกาะแม่กินไม่ช่วยแม่เธอทำมาหากิน(ครอบครั้วแฟนผมค่อนข้างเกือบจะลำบาก) แต่ผมสงสัยว่าเวลา 7 ปีไม่ได้แสดงให้เธอเห็นเลยหรอว่าผมเป็นคนแบบไหนเป็นเหมือนพ่อเขาไหม แล้วพอผมได้ยินคำตอบแบบนี้มันทำให้ผมเริ่มคิดว่า ที่ผมทำทั้งหมดไปเพื่ออะไร การสร้างครอบครัวที่ไม่แน่นอน การอกหัก หรือเป็นโสดตอนวัยกลางคน ผมไม่คิดจะเป็นพนง.กินเงินเดือนไปตลอด project ที่ผมทำก็เอาความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานมาทำ ผมควรจะต้องทำยังไงกับเหตุการณ์นี้ดีครับ
ขยายความ
-
โดนเจ้านายจีบ ปฏิเสธยังไงไม่ให้เสียมารยาท อายุ 31 ค่ะ อายุไม่ใช่น้อยแล้ว ทำงานกึ่งเลขามีหัวหน้าหลายคนค่ะ หัวหน้าชาวต่างชาติ มีหัวหน้าคนใหม่อายุน่าจะประมาณ 36 ปี เพิ่งมาประจำที่ไทยช่วงปี 2023 เราพอดูออกว่าเขาเหมือนจะชอบเรา แต่ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง เราเลยทำตัวเฉย ๆ แต่ช่วงวันที่ 31 ธันวาคม เขาไลน์มาสวัสดีปีใหม่ และบอกตรง ๆ เลยว่าชอบ เราควรจะปฏิเสธยังไงดีคะ ที่ไม่ให้เสียมารยาท และยังทำงานต่อกันได้
ขยายความ
-
จังหวัดไหนที่คุณไม่คิดจะไปและไม่อยากไปครับ อารมณ์คงประมาณว่าไม่มีที่เที่ยวไม่น่าสนใจอะครับไม่คิดจะไปถ้าไม่จำเป็น หรือ คนในพื้นที่รุนแรง อย่างผมอยู่จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดผมนี่น่าที่จะมาเที่ยวไหมครับ
ขยายความ
-
คุณผู้ชายรู้สึกยังไง ถ้าผู้หญิงที่คุณกำลังจีบอยู่ ทำสิ่งนี้... สมมุติอีกแล้วครับว่า... คุณได้รู้จัก และกำลังจีบผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง ซึ่งคุยกันได้ประมาณ 2 เดือน (ก็ไม่นานนะ ประมาณ 60 วันเอง) การคุยกันก็แชทบ้าง โทรบ้าง วิดิโอคอลบ้าง เป็นเรื่องปกติของคนคุยกัน แต่แล้ววันหนึ่ง ระหว่างที่กำลังวิดิโอคอลตอนกินข้าวกันอยู่นั้น เธอได้ทำสิ่งนี้.. เพี้ยนไม่อยากจะเล่า เอิ๊กกกก.. เธอเรอครับ ตามด้วยสิ่งนี้.. แคะขี้มูก ยิกๆๆ นิ้วก้อยหายไปในจมูกเลย ไม่จบ มีเสียงลอยเข้าสายมาอีก ปู๊ดดด พร้อมกับเธอทำหน้า เหม็น เจอทีเด็ดไป 3 ดอกรวด คุณผู้ชาย จะคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนยังไง และยังจะสนใจจีบอยู่หรือไม่ครับ
ขยายความ
-
เราต้องเตรียมเงินไว้ซื้อโทรศัพท์ใหม่ ทุกๆ 7-10 ปีไปจนแก่เลยใช่มั้ย โทรศัพท์ถือเป็นสิ่งจำเป็นมากในชีวิตประจำวันไปแล้วตอนนี้ เพราะมันเป็นมากกว่ามือถือ ทั้งเก็บเงินได้ ไว้ดูเงินในบัญชีได้ ไว้จ่ายเงินซื้อของ ใช้จ่ายค่าน้ำค่าไฟผ่านแอป และค่าต่างๆ ไว้ซื้อของออนไลน์ ซื้อได้แทบทุกอย่าง แม้จะไม่มีรถยนต์ รอรับของที่บ้าน ค่าส่งก็ฟรี โทรหาคนนั้นคนนี้ คอลวิดีโอก็ได้แม้จะอยู่อีกซีกของดาวดวงนี้ ขอแค่มีคลื่นสัญญาณ ทุกอย่างเหล่านี้ อินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งสำคัญมาก พอๆกับไฟฟ้าและคลื่นสัญญาณ ถามว่าเราเตรียมเงินไว้สำหรับเรื่องเหล่านี้กันมั้ยครับ อย่างผม ผมจะเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ทุกๆ 7 ปี คือกะใช้จนกว่าระบบจะไม่รองรับแล้ว หรือไม่ได้รับการดูแลแล้ว เช่นไอโฟน 5s ผมใช้มา 8 ปี แล้วก็เปลี่ยนมาใช้ 14pm เลย ตอนนี้ก็กำลังมองยี่ห้ออื่นด้วย ถ้ามันน่าสนใจ ระบบซอฟแวร์ดี วัสดุดี แต่ราคาถูกกว่า ถึงระบบจะสู้ IOS ไม่ได้ แต่ถ้ามันเทียบเท่าหรือน้อยกว่านิดนึง ก็ยอมรับได้ เพราะเหมือนผลไม้แหว่ง ราคาจะถีบขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วถ้าแก่ไป เงินที่ตั้งใจจะไว้ซื้อกับเรื่องนี้ ดันไปเป็นค่ารักษาพยาบาลหมด แผนเปลี่ยนเลยทันที ถ้าเปลี่ยนทุกๆ 7 ปี ก็ตีไป กว่าจะ 60 ผมคงต้องเปลี่ยนอีก 4 เครื่องเลย ทุกๆในคาบ 10 ปีของช่วงอายุ จะเปลี่ยนใหม่ 1 เครื่อง ซึ่งมือถือเวลาจะซื้อผมจะเลือกแบบตัวท็อปเลย เพราะกะใช้ระยะยาว
ขยายความ
-
คำกล่าวว่า "เด็กรุ่นใหม่ คน Gen Z ทำงานไม่ทน" เอาจริงๆ ก็แค่วาทะกรรมของฝ่ายนายจ้าง เด็กรุ่นใหม่ คน Gen Z ทำงานไม่ทน แล้วยังไง คนรุ่นเก่าทำงานทน คน Gen X ก็โดนบีบออกอยู่ดี ข้อสรุปของนายจ้างคืออะไร ? คืออยากได้แรงงานที่ทำงานทน และ ราคาถูก เด็กรุ่นใหม่ ราคาถูกกว่า แต่ทำงานไม่ทน อะไรนิดอะไรหน่อยออก คนรุ่นเก่า ทำงานทน เอาเท้าถีบยังไม่ออก แต่ราคาแพงเพราะอายุงานเยอะ สรุป คือ ในฐานะลูกจ้าง เอ็งผิดมันทุกรุ่นนะแหละ ไม่ต้องด่าจิกตีกันเองอยู่ในกระชังให้นายจ้างเขาหัวร่อ
ขยายความ
-
เพื่อนกลับบ้าน1เดือน ต้องจ่ายค่าห้องเดือนนั้นมั้ย เราอยู่ห้องกับเพื่อนค่ะ ปกติจะหารค่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าจอดมอไซค์ค่ะ(มอไซค์เพื่อน) แล้วทีนี้เพื่อนจะกลับบ้าน1เดือน เขาขอไม่จ่ายค่าห้องเดือนนั้น จ่ายเฉพาะค่าจอดมอไซค์เขาค่ะ ใจเรารู้สึกไม่โอเคกับแบบนี้ค่ะ สำหรับเราคือค่าห้อง ค่ามอไซค์ถึงไม่อยู่ก็ต้องหาร ส่วนค่าน้ำไฟเราจ่ายเต็มคนเดียวได้ค่ะ
ขยายความ
-
เพื่อนสนิทไม่ตอบไลน์หลัง1ทุ่มกับวันหยุด ให้เหตุผลว่าเลิกงานแล้วเลยไม่คุยกับใคร แปลกไหมครับ เพื่อนสนิทไม่ตอบไลน์หลัง 1 ทุ่ม กับ ส-อา มันให้เหตุผลว่าหลังเลิกงานมันจะไม่คุยอะไรกับใคร เราฟังก็งง เพราะเราก็ไม่ได้คุยเรื่องอะไรหรือใช้มันทำงานอะไรเลยเกี่ยวกับงาน เราคุยเรื่องที่เพื่อนสนิทคุยกันทั่วไปมากกว่า แต่มันก็บอกว่า มันจะไม่จับโทรศัพท์เลยหลัง1ทุ่ม กับ ส-อา เคยไลน์หามันวันหยุดตอนเช้ามันตอบอีกทีตอนเย็น ทุกวันนี้เลยคุยกับเพื่อนแค่จันทร์ถึงศุกร์ช่วงเวลากลางวัน
ขยายความ
-
ผมกำลังประสบปัญหากับคู่ชีวิตคนปัจจุบันครับ ขอคำแนะนำเพื่อนๆ สวัสดีเพื่อนๆครับ อยากจะขอความคิดเห็นจากหลายๆท่านครับ ผมกับแฟนอายุ 28 และเป็นแฟนกัน มา 5 ปีและแต่งงานกันมาได้ 1 ปี และเป็นพนักงานประจำอยู่บริษัทเอกชนคนละที่กัน ปัญหาที่ผมกำลังเจอคือ แฟนผมมีปัญหาเรื่องบริหารเงินไม่เป็นเขาจะชอบซื้อเสื้อผ้า และของที่เขาอยากได้หรือเอาเงินไปเที่ยวพอเงินหมดเขาจะมาขอยืมผมตลอดเป็นแบบนี้ทุกๆเดือน จนผมเครียดมากเพราะผมก็อยากเอาเงินไปลงทุนต่อยอดแต่ต้องมาเผื่อเงินให้แฟนยืมตลอด และเขาก็ชอบไปซื้ออะไรโดยที่ไม่คำนวณค่าใช้จ่ายจนหลายครั้งผมต้องเป็นคนปิดหนี้ให้เขาไปก่อน ผมเคยคุยเป็นเหตุผลกับเขาหลายครั้งมากและคุยมาตลอดว่าจะใช้ชีวิตแบบนี้ไปจนแก่เลยหรอ จนบางครั้งถึงขั้นทะเลาะกันแต่ก็จบที่แฟนผมจะขอโทษและสัญญาว่าจะไม่ทำอีก . สุดท้ายก็จะจบที่ว่าเขาก็จะใช้เงินแบบเดิมอีก ไม่คิดวางแผน ไม่สนอะไร คิดแค่ใช้เงินหวังว่าจะเอาโบนัสมาเคลียหนี้สิน แล้วสุดท้ายก็จะวนลูปแบบนี้ไม่จบ . ขอความคิดเห็นจากเพื่อนๆที่เคยเจอปัญหานี้มาก่อน ควรจะทำยังไงกับเหตุการนี้ดีครับ เพราะผมเครียดมากๆ
ขยายความ
-
ธุรกิจโดนถล่มรีวิว 1 ดาวรัวๆใน Google Reviews จะแก้ไขอย่างไรดีครับ?
ขยายความ
-
ผู้ชายเวลาจะตัดใครออกจากชีวิต เขาไปกันง่ายๆเลยใช่ไหมคะ
ขยายความ
-
ลาพักร้อน นอนอยู่บ้าน แปลกมั้ยครับ
ขยายความ
-
ถ้าคุณย้อนเวลากลับไปได้ 10 ปี คุณจะบอกอะไรกับตัวเองในตอนนั้น
ขยายความ
-
ทำไมผญไม่อยากคบกับผชที่มีฐานะต่ำกว่าตนเอง
ขยายความ
-
ทำไมผู้หญิงอายุ 30-40 ถึงดูมีเสน่ห์ต่อผู้หญิงด้วยกันมาก แต่ผู้ชายกลับชอบผู้หญิงอายุน้อยมากกว่า
ขยายความ
-
เศรษฐกิจแบบนี้พี่ๆเพื่อนๆมีคำแนะนำที่อยากบอกต่อในการวางแผนรับมือบ้างไหมคะ
ขยายความ
-
รู้สึกอย่างไรบ้างครับ ที่เราลางานพักวันหยุด แต่ไปบ้านแฟนครอบครัวแฟนใช้ทำงานหนัก จนร่างกายเพลียแทบจะไม่ไหว
ขยายความ
-
ขอถามพี่ๆอายุ30+ ได้ไหมครับ
ขยายความ
-
ชีวิตคุณมาไกลแค่ไหนในปี 2024 เล่าให้ฟังหน่อย
ขยายความ
-
ความรักผ่านโซเชียล ที่ยาวนานและหลอกลวง
ขยายความ
-
อะไรในร่างกายที่ออกอาการแล้วทำให้รู้สึกว่าเริ่มอายุเยอะแก่แล้วสำหรับเพื่อนๆคะ
ขยายความ
-
เรื่องอะไรที่รุ่นพี่อยากบอกรุ่นน้องที่จบใหม่ก่อนจะเข้าสู่วัยทำงานบ้างคะ
ขยายความ
-
คนที่ตอนแก่ต้องใช้ชีวิตตัวคนเดียวถ้าไม่ติดปัญหาเรื่องเงิน คุณอยากไปอยู่บ้านพักคนชราไหมคะ
ขยายความ
-
ถามเฉพาะผู้หญิง เห็นด้วยไหมว่าไม่ควรจดทะเบียนสมรสถ้าผู้ชายไม่ได้รวยกว่าเรา
ขยายความ
-
เมื่อเราปิดร้านแล้ว แต่ลูกค้ามาเรียกซื้อของตอนกลางคืน
ขยายความ
-
อยากจบความสัมพันธ์จาก FWB แบบอ่อนโยน ทำยังไงดีครับ
ขยายความ
-
แชร์ประสบการณ์วางแผนการเงินอย่างไรสู่หนทางมั่งคั่งแบบฉบับข้าราชการเงินเดือนน้อย ไม่มีรายได้เสริม
ขยายความ