Animalverse.social

Login Now

Create an account
  • Home
  • Blackmarketplace
  • Groups
  • Game
  • Watch
  • Jobs
  • Financial
  • Login
  • Register

ขยายความ

Profile picture of ขยายความ

ขยายความ

@0x217828c54f6960ab9938ed921c342f1b218e21c0

Active 2 months, 2 weeks ago
  • More7
    • Activity
    • Profile
    • Shop
    • Friends 34
    • Groups
    • Forums
    • Media 184
  • 34

    Friends

  • 0

    Groups

My photos
  • บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ คาดการณ์หลายครั้งว่า ใน 10 ปีข้างหน้า AI จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการทำงานของมนุษย์อย่างมหาศาล และอาจแทนที่อาชีพส่วนใหญ่ของมนุษย์ได้ เขาให้สัมภาษณ์ในรายการ The Tonight Show กับจิมมี่ ฟอลลอน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่า ความก้าวหน้าของ AI อาจทำให้หลายอาชีพที่เคยต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์และครู ไม่จำเป็นต้องพึ่งพามนุษย์อีกต่อไป ตามรายงานจากสื่อต่างประเทศ บิล เกตส์ กล่าวในการสนทนากับศาสตราจารย์อาร์เธอร์ บรูคส์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดว่า ยุคใหม่นี้คือ "ยุคแห่งปัญญาเสรี" (Free Intelligence) เขาเชื่อว่าด้วยความก้าวหน้าของ AI คำแนะนำทางการแพทย์และการศึกษาคุณภาพสูง จะกลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ฟรีและแพร่หลาย AI จะเข้ามามีบทบาทในทุกมิติของชีวิต ตั้งแต่ยารักษาโรคและการวินิจฉัยขั้นสูง ไปจนถึงครู AI และผู้ช่วยเสมือนที่ใช้งานได้อย่างกว้างขวาง บิล เกตส์ ระบุว่า AI จะสามารถเข้าใจหลักการสอนและแรงจูงใจของผู้เรียน ช่วยออกแบบหลักสูตร ประเมินการมีส่วนร่วมของนักเรียน ค้นหาจุดอ่อนในการเรียนรู้ และปรับการสอนแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ทุกคนก้าวหน้าไปพร้อมกัน ในด้านการแพทย์ AI จะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากงานวิจัยและประวัติผู้ป่วยจำนวนมหาศาล เพื่อให้การวินิจฉัยที่แม่นยำและครอบคลุมกว่ามนุษย์ บิล เกตส์ เน้นว่า AI กำลังเปลี่ยนแปลงโลกอย่างรวดเร็วและลึกซึ้งจนแทบเป็นเรื่องน่ากลัว เพราะมันไม่มีขีดจำกัด เขาเคยเขียนในบล็อกว่า ได้ขอให้ OpenAI สร้างโมเดลที่สามารถทำคะแนนสูงสุดในข้อสอบชีววิทยา AP ของระดับมัธยมปลาย ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 2-3 ปี แต่กลับสำเร็จภายในไม่กี่เดือน ด้วยความก้าวหน้านี้ เขาคาดว่า AI อาจช่วยให้มนุษย์ทำงานเพียง 2-3 วันต่อสัปดาห์ และมีเวลามากขึ้นสำหรับกิจกรรมอื่นนอกเหนือจากงาน แม้ว่า AI จะเข้ามาท้าทายหลายอาชีพ แต่เกตส์ชี้ว่า บางงานอาจไม่มีวันถูกแทนที่ เช่น กีฬาที่ผู้คนอยากดูนักกีฬาจริงลงแข่งแทนหุ่นยนต์ 1. โปรแกรมเมอร์ – สถาปนิกแห่ง AI เกตส์ระบุว่า ผู้ที่สร้างระบบ AI คือกลุ่มที่มีโอกาสรอดมากที่สุด แม้ AI จะก้าวหน้าอย่างมากในการเขียนโค้ด แต่ยังขาดความแม่นยำและทักษะในการแก้ปัญหาที่จำเป็นต่อการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อน นักพัฒนาโปรแกรมยังคงมีบทบาทสำคัญในการดีบั๊ก ปรับปรุง และผลักดัน AI ให้ก้าวไปข้างหน้า 2. ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน – ผู้คุมพลังงานของโลก พลังงานเป็นระบบที่กว้างและซับซ้อนเกินกว่าที่ AI จะจัดการได้เอง ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน นิวเคลียร์ หรือพลังงานหมุนเวียน ผู้เชี่ยวชาญยังจำเป็นต้องกำกับดูแล นำทางกฎระเบียบ และวางแผนโซลูชันที่ยั่งยืน เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา "แม้ AI จะช่วยวิเคราะห์และเพิ่มประสิทธิภาพได้ แต่ในด้านการตัดสินใจและบริหารวิกฤต มนุษย์ยังคงขาดไม่ได้" นักชีววิทยา – นักสำรวจแห่งชีวิต นักชีววิทยา โดยเฉพาะในด้านการวิจัยทางการแพทย์และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ อาศัยความคิดสร้างสรรค์ สัญชาตญาณ และการวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI เลียนแบบได้ยาก แม้ AI จะช่วยประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลและวินิจฉัยโรคได้ แต่ยังขาดความสามารถในการตั้งสมมติฐานใหม่ ๆ หรือก้าวกระโดดทางความคิดในงานวิจัย 3. "นักชีววิทยายังคงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการแพทย์และทำความเข้าใจความซับซ้อนของชีวิต AI เป็นเพียงเครื่องมืออันทรงพลัง แต่ไม่ใช่สิ่งทดแทน"
  • แพทย์เผยรายงาน เปรียบเทียบ คนดื่มกาแฟตอนเช้า กับคนที่ไม่ดื่มกาแฟ แพทย์เผยรายงาน เปรียบเทียบ คนดื่มกาแฟตอนเช้า กับคนที่ไม่ดื่มกาแฟ กับอัตราการเสียชีวิตในผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน ผลออกมาชัดมาก วันที่ 14 ม.ค.67 นพ.ฆนัท ครุฑกูล นายกสมาคม นายกสมาคมโภชนาการเพื่อกีฬาและสุขภาพ เปิดเผยว่า จากการศึกษาเรื่องการดื่มกาแฟล่าสุด โดยเพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร European Heart Journal เมื่อวันที่ 8 ม.ค.2025 โดยสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างเวลาที่บริโภคกาแฟและอัตราการเสียชีวิตในผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน พบการดื่มกาแฟในช่วงเช้าเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่ลดลงในการเสียชีวิตจากสาเหตุต่าง ๆ และโรคหัวใจ เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่มกาแฟหรือดื่มตลอดทั้งวัน นพ.ฆนัท กล่าวว่า การศึกษาเรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า การดื่มกาแฟในช่วงเช้าอาจเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่ลดลงในการเสียชีวิตจากสาเหตุต่างๆ แต่ในความเห็นส่วนตัวของหมอคนที่ไม่ดื่มกาแฟเลยก็ไม่มีความจำเป็นต้องดื่ม แต่ถ้าคนที่ดื่มกาแฟไม่ควรดื่มในปริมาณที่มาก วันหนึ่งไม่ควรดื่มการแฟมากจนเกินไป เนื่องจากคนไทยมีรูปร่างเล็กกว่าชาวยุโรปหรืออเมริกา จึงไม่ควรดื่มเกินวันละสองแก้ว สำหรับในคนยุโรปหรือคนอเมริกันไม่ควรบริโภคกาแฟเกิน กาแฟ 2-4 ถ้วยต่อวันหรือ 400 มิลลิกรัมของคาเฟอีน”นพ.ฆนัท กล่าว นพ.ฆนัท กล่าวว่า สำหรับช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการดื่มกาแฟคือ ในช่วงเช้าหรือกลางวันและหลีกเลี่ยงการดื่มในช่วงเย็น โดยกาแฟดำเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มแคลอรี่หรือน้ำตาล และแนะนำให้ดื่มหลังอาหารเช้า เพราะกาแฟมีผลกระทบให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
  • รวมวิจัยมหาลัยดัง พ่อแม่ที่ทำงาน 3 อาชีพนี้ มีโอกาสเลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จ "มากกว่า" รวมงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยระดับโลก เผยพ่อแม่ที่ทำงาน 3 กลุ่มอาชีพนี้ มีโอกาสเลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จ "มากกว่า" ในทุคยุคสมัยปรากฏการณ์หนึ่งที่ยังคงสังเกตเห็นอยู่เสมอ นั่นคือ อาชีพของพ่อแม่มีแนวโน้มที่จะถูก “สืบทอด” มาจากรุ่นต่อรุ่น พูดอย่างง่ายๆ ก็คือ หากพ่อแม่ทำงานในสาวอาชีพใดอาชีพหนึ่ง ลูกของพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะประกอบอาชีพที่คล้ายกันเมื่อเติบโตขึ้น นั่นเป็นเหตุว่าทำไมจึงได้ยินวลีเช่น “ครอบครัวนักดนตรี” “ครอบครัวสถาปนิก” หรือ “ตระกูลหมอ” บ่อยๆ ในสายตาของหลายๆ คน เรื่องนี้ดูเป็นสิ่งลึกลับที่ยังหาคำตอบไม่ได้อยู่บ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วแก่นแท้ของเรื่องนี้ก็คือ พ่อแม่จะนำทักษะหรือลักษณะเฉพาะทางวิชาชีพของตน มาแปลงเป็นทรัพยากรทางการศึกษาในครอบครัว ทำให้ลูกๆ ได้สัมผัสและเริ่มคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย จากการศึกษาวิจัย 30 ปีของสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน พบว่า ประเภทอาชีพของผู้ปกครองส่งผลโดยตรงต่อรายได้ ความสำเร็จในอาชีพ และความสามารถในการปรับตัวทางสังคมของบุตรหลานเมื่อเป็นผู้ใหญ่ คำถามต่อมาที่หลายคนอยากรู้ก็คือ พ่อแม่สามารถเลือกอาชีพใดได้บ้าง ที่จะช่วย “ปูทาง” ให้ลูกๆ สู่อนาคตที่ประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย? แพทย์/นักวิจัย – ฝึกทักษะการคิดเชิงตรรกะและความอดทน ไม่ว่าจะเป็นแพทย์หรือนักวิจัย ทุกคนจะเห็นว่าอาชีพเหล่านี้มีลักษณะเด่นที่ใช้ข้อมูลในการอธิบาย และใช้การคิดเชิงระบบในการวิเคราะห์ปัญหา นอกจากนี้ มักต้องการความละเอียดรอบคอบ ต้องเผชิญกับความกดดันและความล้มเหลวบ่อยๆ ซึ่งลักษณะเหล่านี้จะค่อยๆ ถูกส่งผ่านมายังลูกๆ ผ่านการอบรมในครอบครัว โดยผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า ลูกของแพทย์หรือนักวิจัยมักมีผลการเรียนในสาขาวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรมศาสตร์, คณิตศาสตร์ สูงกว่าลูกของผู้ปกครองในอาชีพอื่นๆ ถึง 31% ซึ่งไม่ใช่เพราะพันธุกรรม แต่เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับการเข้าหาปัญหาด้วยการคิดแบบหลักการและเหตุผลตั้งแต่เด็ก นอกจากนี้ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์ พบว่า ลูกของแพทย์หรือนักวิจัยมักมีระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (ที่เกี่ยวข้องกับความเครียด) ต่ำกว่าลูกของคนทั่วไปถึง 41% ในสถานการณ์ที่มีความตึงเครียด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถปรับตัวกับความเครียดได้ดีกว่า ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ลูกๆ จะไม่เพียงแต่ฝึกทักษะการคิดเชิงตรรกะ แต่ยังสามารถพัฒนาความอดทนที่สูงกว่า นอกจากนี้ยังช่วยให้เด็กมีความได้เปรียบในการเรียนและทำงานในอนาคต แต่ก็ต้องระวังว่าการทำงานที่ใช้เวลามากอาจทำให้เด็กขาดการเอาใจใส่ หรือเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เครียดเกินไป ดังนั้น ผู้ปกครองควรกำหนดขอบเขตระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวให้ชัดเจน เพื่อสร้างผลกระทบที่ดีให้แก่เด็กและหลีกเลี่ยงผลเสียจากความเครียดในอาชีพ ครู/นักการศึกษา – สร้างทักษะการคิดแบบพัฒนาให้เด็ก ทุกคนรู้ว่าการศึกษาต้องมีการปรับปรุงตามยุคสมัย ซึ่งหมายความว่าครูต้องมีการคิดแบบ "พัฒนา" เพื่อปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ดังนั้น ลูกของครูมักจะได้รับโอกาสในการพัฒนาทักษะการคิดตั้งแต่เด็ก การคิดแบบนี้จะช่วยให้เด็กสามารถปรับตัวกับโลกที่เปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ครูไม่ได้แค่ถ่ายทอดความรู้ แต่ยังต้องสร้างและจัดระเบียบความรู้ให้เป็นระบบ ดังนั้น ครูจึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการเรียนรู้ได้ดีกว่าผู้ปกครองคนอื่นๆ การวิเคราะห์ข้อผิดพลาดในการตรวจงานหรือการสร้างระบบความรู้ในการเตรียมการสอน กลายเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการศึกษาของเด็ก ที่สำคัญคือ สภาพแวดล้อมในบ้านของครูมักจะสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดีให้กับเด็ก เช่น การเตรียมการสอน การอ่านหนังสือ และการเรียนรู้ ซึ่งจะทำให้เด็กได้รับผลกระทบที่ดีจากสิ่งเหล่านี้ การศึกษาจากคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ พบว่า ลูกของครูมีผลการทดสอบความสามารถด้านการเรียนรู้ สูงกว่าลูกของผู้ปกครองที่ไม่ได้ทำงานเป็นครูถึง 23% การสามารถควบคุมและปรับกระบวนการเรียนรู้ได้ดี เป็นสิ่งที่ช่วยเด็กในการรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคต อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองที่เป็นครูต้องระวังการนำวิธีการสอนมาปรับใช้กับการเลี้ยงดูเด็ก หากมีการควบคุมมากเกินไปหรือการตั้งระเบียบที่เคร่งครัดอาจสร้างความตึงเครียดในบ้านและส่งผลเสียต่อจิตใจของเด็ก นักธุรกิจ/ผู้ประกอบการ – กระตุ้นความสามารถในการเป็นผู้นำของเด็ก จากการสำรวจของโรงเรียนธุรกิจฮาร์วาร์ด พบว่า 43% ของลูกของนักธุรกิจเคยมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางธุรกิจของครอบครัวตั้งแต่เด็ก แม้ว่าจะไม่ทั้งหมดที่รับช่วงงานธุรกิจจากพ่อแม่ แต่เด็กเหล่านี้มักแสดงความสามารถในการเป็นผู้นำและมีความสามารถทางธุรกิจตั้งแต่ยังเด็ก นี่คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "ผลกระทบจากอาชีพ" ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่าลูกของนักธุรกิจมักได้รับโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้ที่ดีกว่าลูกของครอบครัวอื่นๆ นอกจากนี้ การที่พ่อแม่เป็นนักธุรกิจยังทำให้เด็กๆ มีโอกาสในการขยายมุมมองและพัฒนาความเข้าใจได้เร็วกว่าเด็กในครอบครัวอื่นๆ และด้วยข้อได้เปรียบด้านทรัพยากรทางการเงิน เด็กในครอบครัวนักธุรกิจสามารถลองผิดลองถูกได้โดยไม่ต้องแบกรับความกดดันมากนัก จากกระบวนการทดลอง – ปรับปรุง – เรียนรู้อย่างต่อเนื่องนี้ เด็กๆ มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้น จริงๆ แล้ว ผลกระทบจากอาชีพของพ่อแม่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลุ่มอาชีพที่กล่าวถึงข้างต้น แม้แต่ในอาชีพทั่วไป เราก็สามารถใช้ความได้เปรียบจากการทำงานของเรามาช่วยให้ลูกเติบโตและพัฒนาไปในทางที่ดีได้ ตามที่ Peter Drucker ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการกล่าวไว้ "การศึกษาที่ดีที่สุดคือการเปลี่ยนวิธีการทำงานให้กลายเป็นปัญญาของชีวิต"
  • พี่ยุ พี่เลี้ยง ลูก ดิว อริสรา มาตอบแล้ว หลังหลายคนสงสัย ยังเลี้ยงน้องอยู่มั๊ย จากกรณีที่มีการพูดถึงกระแสข่าว ดิว อริสรา กับภาพลักษณ์รวยหรูจนคนอิจฉา น็อต วรฤทธิ์ พิธีกร ถามทั้ง เอมมี่ มรกต และ มดดำ คชาภา เพื่อนพิธีกรว่าในฐานะเพื่อนที่สนิทสนมกัน เราเชื่อว่าเขามีความร่ำรวยแบบนั้นไหม เอมมี่ตอบว่า “เราเชื่อ” มดดำ ก็กล่าวว่า ฉันเชื่อ เพราะดิวเป็นคนที่มาออกรายการแฉบ่อยที่สุดด้วย (เอมมี่ : เพราะเธอสนิท) จริง เพราะฉันเห็นมันมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วย กลุ่มเพื่อนเขาแต่ละคนเป็นนักธุรกิจ ดิว ก็ทำธุรกิจเยอะ ทั้งธุรกิจก่อสร้าง ผับบาร์ มีหมด แต่หลังๆ เอาจริงๆ ถ้ามันใช้เงินด้วยความเป็นดิวปกติ ที่เติบโตมาเงินเหลือๆ ถ้าช็อปปิ้งครั้งละล้านไม่เป็นไรหรอก เดือนละครั้งก็ได้ แต่มันล่อซื้อทีละ10ล้าน อันนี้ 5 ล้าน ไม่ต้องอะไรมาก ค่าเช่าบ้านเดือนละ 1.5 ล้าน อะไรลูก ช็อปปิ้ง ครั้งละล้าน เดือนละครั้ง สามเดือนครั้ง ฉันว่าเงินมันเหลือ เงินที่มันทำธุรกิจมา ฉันว่ามันมีเงินมา เงินเป็นก้อนด้วย หลังๆที่เริ่มทำคอนเทนต์ออนไลน์ มันเริ่มหนักขึ้น หนักขึ้น หนักขึ้น หนักๆๆ มันเดินหน้าแล้วมาถอยเกียร์ยังไง แล้วนางคงคิดว่าสามีจะซัพพอร์ต มันเป็นคอนเทนต์ที่ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น คนอยากมีชีวิตเป็น ดิว อริสรา นางมีแฟนดีที่เคยซัพพอร์ตชีวิตนางดี อยู่กันไปนานๆ มันโป๊ะ เอมมี่ กล่าวว่า ตอนนี้คือเขาโดนอะไรเยอะมาก เอมมี่เชื่อว่าเขาน่าจะเรียนรู้บทเรียนครั้งนี้แล้ว สำหรับเราในฐานะคนเคยรู้จักกัน เขาไม่เคยทำอะไรฉัน และฉันก็ยังมีความหวังดีกับเขานะ มดดำ ก็กล่าวว่า วันนี้พวกเราก็ยังรักมันนะ เอมมี่ กล่าวว่า ฉันสงสารมัน อยากให้มันได้มีโอกาสแก้ตัว เปลี่ยนเรื่องที่ผิดให้ถูก แต่มันต้องช่องนั้น ที่ พี่หนุ่ม กรรชัย พูดถึง ช่องว่างเล็กๆอันนั้น ให้เขาได้กลับมาใช้หนี้ ให้เขาได้หายใจ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของดิวกับสามี เอมมี่ กล่าวว่า จากที่เขาพูด แล้วก็กระแส แต่ละเพจพูดเรื่องความสัมพันธ์เขาสองคน จากที่ฟังเขาพูด (สามีเลิกมั้ย)คิดว่าไม่น่าจะดี (จากเรื่องนี้เหรอ) คิดว่าเป็นความจริงที่เปิดเผยออกมาของทั้งสองคน ไม่รู้ว่ารับได้หรือเปล่า แต่ไม่อยากอยู่กับสิ่งนี้ตอนนี้ อันนี้คิดเองคิดจากที่เรารู้จักมัน มดดำ กล่าวว่า ต่างคนก็อาจจะต่างเอ้าเหรอ ไม่ใช่เหรอ มันก็เลยเริ่มห่าง (เอมมี่ : เริ่มแตกที่ขยายกว้างขึ้นไหม) ผู้ชายก็เอาลูกไปใช่ไหม ลูกก็ไปอยู่ไต้หวัน (เอมมี่ : ลูกอยู่บ้านผู้ชาย ดิวก็อยู่ไต้หวัน) เจตนาตอนนี้อยากจะแก้ไขความผิด ต้องให้โอกาสนาง ล่าสุดหลายคนสงสัยว่าพี่ยุ พี่เลี้ยงของน้องไวลาส ยังได้ดูแล น้ิงไซลาสอยู่หรือไม่ ซึ่งทางพี่ยุ ก็ได้มาตอบกลับผ่านทางติ๊กต๊อก โดยได้บอกว่า ยังดูแลน้องเหมือนเดิมจ้า
  • หนุ่มโคม่าหลัง “กินปลา” หลายอวัยวะล้มเหลว หมอเตือนส่วนที่ “ห้ามกิน” พิษยิ่งกว่าสารหนู! หนุ่มวัย 30 อวัยวะล้มเหลวหลายส่วน จากการกิน 1 ส่วนของปลา พิษร้ายแรงกว่าสารหนู แต่หลายคนกลับเข้าใจผิดว่าเป็น “ของดี” มีประโยชน์ การเชื่อในสมุนไพรที่เผยแพร่จากปากต่อปากโดยไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ได้ทำให้ชายหนุ่มวัย 30 ปีคนหนึ่งเกือบเสียชีวิตจากภาวะอวัยวะล้มเหลว เนื่องจากสิ่งหนึ่งเล็กๆ ในปลาที่อันตรายกว่าพิษจากอาร์เซนิก แม้ว่ามันจะสามารถทำให้เสียชีวิตได้หากรับประทานเข้าไป แต่หลายคนกลับเชื่อว่ามันเป็น “ยาบำรุงชั้นดี” ชายอายุ 30 ปี ที่ยังโสด และอาศัยอยู่กับครอบครัวในมณฑลกุ้ยโจว ประเทศจีน ในระหว่างการไปตกปลากับเพื่อน เขาได้ปลาคาร์พขนาดใหญ่และตัดสินใจนำมาทำเป็นหม้อไฟ ในขณะนั้นเพื่อนของเขาได้แนะนำว่าการรับประทาน จะช่วยปรับปรุงการมองเห็นและสุขภาพทางเพศชาย ซึ่งเขาจึงลองทำตามคำแนะนำในทันที ประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เขาเริ่มรู้สึกคลื่นไส้ ปวดท้อง วิงเวียนศีรษะ และอ่อนเพลียจนต้องให้เพื่อนพากลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาคิดว่าอาการที่ตัวเองเป็นอยู่นั้นคือการเมาเหล้า จึงทำการล้วงคอเพื่ออาเจียนแล้วไปนอนพักตามปกติ แต่ไม่คาดคิดว่าอาการจะทวีความรุนแรงขึ้น โดยมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ปัสสาวะลำบาก และผิวหนังมีสีเหลืองซีด ญาติจึงรีบพาส่งห้องฉุกเฉินในคืนนั้น ที่โรงพยาบาลเชื่อมโยงหมายเลข 1 ของมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง แพทย์พบว่าเขาได้รับพิษจากปลาอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะตับล้มเหลว, ไตล้มเหลว และการผิดปกติของการแข็งตัวของเลือดอย่างเฉียบพลัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่าเอนไซม์ตับเพิ่มสูงเกินค่าปกติหลายร้อยเท่า ทำให้ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตราย หลังจากการรักษาฉุกเฉินหลายชั่วโมงโดยแพทย์จากหลายแผนก โชคดีที่เขารอดชีวิตจากอันตรายครั้งนั้น แต่ต้องใช้เวลานานในการฟื้นฟูการทำงานของอวัยวะ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการรับประทานน้ำดีปลาสด ฝ่ายเพื่อนของเขาก็รู้สึกเสียใจมากที่ขาดความรู้และเกือบทำให้ชีวิตของคนอื่นตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต ตามที่นายแพทย์จู เทียน แพทย์จากแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล กล่าวว่า มีหลายคนที่เข้าใจผิด ในขณะที่ความจริงคือ เป็นอวัยวะที่มีพิษสูง เต็มไปด้วยสารพิษที่อันตราย เพียงแค่ 1 กรัมก็สามารถทำให้เกิดอาการพิษรุนแรงได้ โดยเฉพาะในปลาขนาดใหญ่ ปริมาณสารพิษยิ่งมากขึ้น ซึ่งตั้งอยู่บริเวณท้องของลำตัวปลา ใช้เก็บน้ำดีที่ถูกหลั่งออกมาจากตับและตับอ่อนของปลา และมีบทบาทในการย่อยอาหารเป็นการได้รับพิษจากอาหารที่ร้ายแรง เนื่องจากมีกรดโคลิก, กรดทาวโรโคลิก, กรดไซยาไนด์, โซเดียมคาร์ไพลซัลเฟตที่ละลายในน้ำ, ฮีสตามีน และสารพิษอื่นๆ ซึ่งสารที่อันตรายที่สุดคือ “กรดไซยาไนด์” ที่มีพิษร้ายแรงกว่าพิษจากอาร์เซนิก (สารหนู) ในปริมาณเท่าๆ กัน “สารพิษเหล่านี้ไม่สามารถถูกทำลายได้โดยการต้มหรือทำอาหาร หรือแม้แต่การดื่มเหล้า ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นน้ำดีจากปลาที่นึ่งสุก หรือน้ำดีจากปลาสดที่แช่ในเหล้า ก็ยังสามารถทำให้เกิดการพิษได้ สามารถก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงมากมาย ซึ่งยังไม่มียาแก้พิษเฉพาะทาง และอาจถึงขั้นทำให้เสียชีวิต” คุณหมอกล่าว ผู้ที่ได้รับพิษจากน้ำดีของปลา มักจะมีระยะฟักตัวที่สั้น ระหว่าง 30 นาที ถึง 6 ชั่วโมง โดยมีอาการต่างๆ เช่น ปวดท้อง อาเจียน ตัวเหลือง ปัสสาวะลำบาก และสุดท้ายอาจนำไปสู่ภาวะล้มเหลวของอวัยวะหลายส่วน หากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา อาจลุกลามจนถึงภาวะช็อกและเสียชีวิตได้ ดังนั้น ห้ามรับประทาน “น้ำดีปลา” มีพิษอันตรายยิ่งกว่าสารหนู แต่หลายคนยังเชื่อว่าเป็นยาบำรุง
  • หมอยังตะลึง สาวหายขาดจาก “ไขมันพอกตับ” ใน 3 เดือน เพราะสิ่งที่กินทุกเช้า ดร.เฉียน เจิ้งหวง เล่าว่า เมื่อ 3 เดือนก่อน จาง หยุน หญิงสาววัย 30 ปี มาตรวจสุขภาพและพบว่าเป็นไขมันพอกตับ แม้ยังไม่รุนแรง แต่แพทย์แนะนำให้เธอ ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและโภชนาการ แทนการใช้ยา ล่าสุด เมื่อเธอกลับมาตรวจอีกครั้ง ผลตรวจระบุว่าไขมันพอกตับของเธอหายไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้เธอดีใจเป็นอย่างมาก ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา เธอลดน้ำหนักได้ 5 กิโลกรัม โดยไม่ได้ออกกำลังกายเลย “สิ่งเดียวที่ฉันทำคือเปลี่ยนอาหารเช้าให้เป็นเมนูเพื่อสุขภาพ” เธอเล่าให้แพทย์ฟัง เผยเมนูอาหารเช้าที่ช่วยให้หญิงวัย 30 ปีหายจากไขมันพอกตับ จาง หยุน เล่าว่า มื้อเช้าของเธอเรียบง่าย โดยมักรับประทานมันเทศ 1-2 หัว คู่กับกล้วย 1 ผล หรือบางวันก็เปลี่ยนเป็นไข่ต้ม 2 ฟอง พร้อมกับกาแฟ 1 ถ้วย เมื่อสอบถามเพิ่มเติม ดร.เฉียน เจิ้งหวง พบว่าเธอต้มมันเทศตั้งแต่คืนก่อน แล้วปล่อยให้เย็นก่อนรับประทานในเช้าวันถัดไป ส่วนกล้วยที่เธอเลือกกิน เป็นกล้วยที่สุกพอดี (เปลือกเหลืองแต่ยังมีสีเขียวเล็กน้อย) แพทย์อธิบายว่า มันเทศที่ปล่อยให้เย็นและกล้วยสุกพอดีมี “แป้งทนย่อย” (Resistant Starch) ซึ่งงานวิจัยหลายฉบับระบุว่า ช่วยควบคุมน้ำหนักและลดภาวะไขมันพอกตับได้ ความเชื่อมโยงระหว่างแป้งทนย่อยกับภาวะไขมันพอกตับ เว็บไซต์ Medical News Today อ้างถึงงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Cell Metabolism ซึ่งพบว่า แป้งทนย่อย (Resistant Starch) ช่วยลดการอักเสบและความเสียหายของตับ ส่งผลให้ภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ดีขึ้น การศึกษานี้มีผู้เข้าร่วม 200 คน ที่ป่วยเป็นไขมันพอกตับ โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก ได้รับ แป้งทนย่อยจากข้าวโพด กลุ่มที่สอง (กลุ่มควบคุม) ได้รับ แป้งธรรมดา ในปริมาณแคลอรีเท่ากัน ผู้เข้าร่วม ละลายแป้ง 40 กรัมในน้ำ 300 มล. แล้วดื่มก่อนอาหารวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 4 เดือน กลุ่มที่บริโภคแป้งทนย่อย มี ระดับไตรกลีเซอไรด์ (ไขมันในตับ) ลดลงเกือบ 40% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม เอนไซม์ตับลดลง และ อาการอักเสบของตับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในลำไส้ นักวิจัยพบว่า กลุ่มที่รับแป้งทนย่อยมีแบคทีเรียในลำไส้เปลี่ยนไป โดยเฉพาะแบคทีเรีย Bacteroides stercoris ลดลงอย่างชัดเจน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเผาผลาญไขมันในตับ ทั้งนี้ การรับประทานอาหารที่มีแป้งทนย่อยเป็นประจำ เช่น ธัญพืชเต็มเมล็ด, ถั่วต่างๆ, กล้วยดิบหรือกล้วยห่าม และข้าวหรือมันเทศที่ผ่านการหุงแล้วปล่อยให้เย็น อาจช่วยลดภาวะไขมันพอกตับได้ ตามข้อมูลจาก Medical
  • หลายคนอาจคิดว่า Mark Zuckerberg ก่อตั้ง Facebook ได้สำเร็จ เพราะตัดสินใจลาออกจากฮาร์วาร์ดเพื่อมาทุ่มเทกับธุรกิจ แต่จริงๆ ไม่ใช่เช่นนั้น (อ่านรายละเอียดในคอมเมนต์)
  • กรุงเทพฯ คว้าอันดับ 2 เมืองแห่งอาหารที่ดีที่สุดในโลก 2568 จากนิตยสาร Time Out
  • หมอเตือน! ตื่นนอนแล้ว “ปากขม-มีกลิ่น” เป็นสัญญาณ 5 โรค แนะวิธีแก้ง่ายๆ รีบทำตาม คุณมีปัญหาเรื่องการหายใจเมื่อตื่นนอนหรือไม่? Dr.Huang Xuan แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทรวงอกและภาวะวิกฤต เตือนว่าหากตื่นขึ้นมาแต่เช้าและรู้สึกว่า “ขมและมีกลิ่น” ในปาก นั่นอาจเป็นสัญญาณของการเตือนภัยด้านสุขภาพ นอกจากกรดไหลย้อน และสุขอนามัยในช่องปากที่ไม่ดีแล้ว ยังอาจเกิดจากโรคตับอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ โรคโจเกรน หรือแม้แต่โรคเบาหวาน คุณหมอโพสต์บนแฟนเพจโซเชียล ชี้ให้เห็นว่าบางคนมีประสบการณ์รู้สึกขมและมีกลิ่นปากหลังจากตื่นนอนในตอนเช้า แม้ว่าสถานการณ์เช่นนี้จะไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะสาเหตุของกลิ่นปากอันขมขื่นน่าจะเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพ 5 ประการต่อไปนี้ กรดไหลย้อนและอาหารไม่ย่อย หากตื่นนอนตอนเช้า และพบว่ามีรสขมในปากบ่อยครั้ง พร้อมด้วยลมหายใจเปรี้ยวผิดปกติ อาจกำลังเป็นโรคกรดไหลย้อนได้ กรดไหลย้อนจะทำให้กรดในกระเพาะหรือน้ำดีกลับเข้าไปในหลอดอาหารและแม้กระทั่งเข้าไปในปาก ทำให้เกิดรสขมและไม่ดีในปาก สถานการณ์นี้มักเกี่ยวข้องกับการ “รับประทานอาหารเย็นมากเกินไปหรือดึกเกินไป” แนะนำให้หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหนักหรือมันเยิ้มก่อนเข้านอน และรอ 2-3 ชั่วโมงหลังอาหารเย็นค่อยเข้านอน การทำงานของตับและท่อน้ำดีผิดปกติ การสะสมหรือการขับถ่ายของน้ำดีไม่ดีอาจทำให้มีรสขมในปาก รสขมในปากเมื่อตื่นนอนตอนเช้า โดยจะมีอาการร่วมด้วย เช่น เหนื่อยล้า เบื่ออาหาร หรือปวดบริเวณชายโครงด้านขวา แนะนำให้ไปพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจการทำงานของตับและถุงน้ำดี ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับและถุงน้ำดี แบคทีเรียในปากมีแนวโน้มที่จะแพร่พันธุ์ในเวลากลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีปัญหา เช่น โรคปริทันต์ ฟันผุ หรือแผลในช่องปาก และกลิ่นปากจะรุนแรงขึ้น หากพบรสขมและกลิ่นในปาก แนะนำให้แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันทุกเช้าและเย็น และตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ ผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจมีอาการปากแห้ง ปากขม และกลิ่นปาก เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดไม่คงที่ สาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของคีโตนในร่างกาย ส่งผลให้มีรสหวานหรือขมผิดปกติ อาการปากขมและมีกลิ่นปาก ผู้ป่วยอาจมีอาการต่างๆ เช่น กระหายน้ำบ่อย และปัสสาวะบ่อย ขอแนะนำให้ทำการทดสอบน้ำตาลในเลือด เพื่อทำความเข้าใจการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด กลุ่มอาการโจเกรน (Sjogren’s Syndrome) คือโรคทางภูมิคุ้มกันที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อการทำงานของต่อมน้ำลาย ซึ่งอาจทำให้ปากแห้ง ปากขม และกลิ่นปากได้ ตื่นเช้ามาปากแห้งผิดปกติ และอาจกลืนลำบาก ตามมาด้วยอาการตาแห้งหรือผิวแห้ง แนะนำให้พิจารณาตรวจระบบภูมิคุ้มกันโรครูมาติก Dr.Huang Xuan สรุปว่าหากต้องการแก้ไขปัญหากลิ่นขมและกลิ่นปากในตอนเช้า คุณควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหนักหรือมันเยิ้มในตอนกลางคืน และพยายามหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารก่อนเข้านอน ไม่รับประทานอาหารมากเกินไปในมื้อเย็น และการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูงในปริมาณปานกลาง สามารถช่วยส่งเสริมการย่อยอาหารได้ นอกจากนี้ อย่าลืมแปรงฟันทุกเช้าและเย็น และใช้ไหมขัดฟันหากจำเป็น ให้ใช้น้ำยาบ้วนปากเพื่อลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยกำจัดอาหารตกค้างในปากเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการหลั่งน้ำลายและลดอาการปากแห้ง ทั้งนี้ หากเกิดอาการปากเหม็นและกลิ่นปากอย่างต่อเนื่อง ควรไปพบแพทย์ให้ทันเวลา เพื่อระบุสาเหตุและให้การรักษาตามอาการ
    • Personal
    • Mentions
    • Favorites
    • Friends
    • Groups

Member Activities

RSS Feed

Loading the member’s updates. Please wait.

    Guest
    Create an account