ไทยแลนด์แดนแห่งธุรกิจฟอกเงิน จากร้านราคาถูกผิดปกติ สู่ “ระบบผลิตเงินสะอาด” ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเริ่มเห็นธุรกิจจำนวนไม่น้อยที่ราคาถูกผิดปกติ จนทำให้ผู้ประกอบการท้องถิ่น ผู้ค้าออนไลน์ รวมถึงเจ้าของกิจการจริงๆ ตั้งคำถามว่า “เขาขายได้อย่างไร” โรงแรมคุณภาพดีราคาไม่ถึงครึ่งของราคาปกติที่เคยจ่าย ร้านอาหาร ผับ บาร์ และพ่อค้า แม่ค้า ไลฟ์คอมเมิร์ซจำนวนมากที่จัดโปรแรงกว่าต้นทุนจริงอย่างเห็นได้ชัด เข้าไปดูทีไรใจสั่นต้องเสียเงินทุกที ถ้ามองเพียงผิวเผิน เราจะคิดว่านี่คือการแข่งขันเชิงราคาแต่มองให้ลึกกว่านั้น เรากำลังเห็นระบบที่ฟอกให้เงินสะอาด ที่ใช้หน้าร้านเป็นเพียงฉากบังหน้า ธุรกิจเหล่านี้ไม่ได้กำลัง optimize กำไรต่อชิ้น แต่กำลัง optimize ความเร็วในการเปลี่ยนเงินสกปรกให้กลายเป็นเงินสะอาด หรือที่ในวงการการเงินเรียกว่า Velocity of Laundering โดยใช้หน้าร้านจริง + แพลตฟอร์มออนไลน์ + ซอฟต์แวร์ชำระเงิน + โกดัง/โลจิสติกส์ เป็น “สายพานเดียวกัน” พูดให้ชัด คือ ธุรกิจเหล่านี้ที่ตั้งใจขายขาดทุน ไม่ได้ขาดทุนเพราะบริหารพลาด แต่ขาดทุนเพราะกำลังซื้อความชอบธรรมให้กับเงินสดที่มี ปรากฏการณ์ที่เห็น และสิ่งที่มองไม่เห็น โรงแรมดีเกินราคา ขนส่งราคาทิ้งดัมพ์ ร้านอาหาร ผับ บาร์ ร้านนวด โปรแรงกว่าทุน หรือ ไลฟ์ขายของยอดถล่มแต่ลูกค้าจริงกลับเงียบ พอตรวจสาวไปถึงผู้ถือหุ้นเจอแต่นอมินี โครงสร้าง Paper company เบื้องหลังเชื่อมบัญชีม้า วอลเล็ต และเกตเวย์ข้ามแดน เมื่อเข้าไปตรวจสอบโครงสร้างจริง เราจะพบลำดับชั้นที่เชื่อมโยงเป็นระบบเดียวกัน 1. หน้าร้าน/ไลฟ์คอมเมิร์ซ ตั้งราคาต่ำกว่าต้นทุนเพื่อดึงให้ยอดขายดูพุ่ง ใช้ระบบดูดคอมเมนต์ บอท ปั๊มยอด “CF” ให้เหมือนขายดี สร้างภาพผ่าน KOL/KOC และรีวิวปลอมให้ดูน่าเชื่อถือ 2. ระบบจ่ายเงิน (Payment Gateway & Wallet) ผูกหลาย Merchant ID เพื่อกระจายความเสี่ยง ใช้ Split Payment และบัญชีม้าเพื่อทำ Layering ออก e-Receipt / e-Invoice ที่ถูกต้อง ทำให้เงินเข้าสู่ระบบบัญชีได้อย่างแนบเนียน 3. โกดัง โลจิสติกส์ Fulfillment ใช้ฮับขนส่งราคาต่ำผิดปกติ เพื่อให้จำนวนสินค้าหมุนเวียน “ดูสมจริง” บางออเดอร์ส่งจริง บางออเดอร์ส่งหลอก จุดสำคัญคือ “มี Tracking ให้ตรวจสอบได้” 4. นิติบุคคลซ้อนนอมินี ชื่อหน้าร้านอาจเป็นคนไทย แต่เจ้าของที่แท้จริงมักอยู่ต่างประเทศ เราต้องเข้าใจว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ ภาคธุรกิจไทยสู้ราคาไม่ได้ แต่คือ โครงสร้างเศรษฐกิจเสียสมดุล 1. ผู้ประกอบการสุจริต ที่ค้าขายปกติ ถูกบีบให้ออกจากตลาด 2. ตัวเลขเม็ดเงินที่เกิดขึ้น ที่เสมือนว่ามีเงินหมุนเวียนในประเทศ ไม่สร้างเศรษฐกิจจริง 3. ความเชื่อมั่นต่ออีคอมเมิร์ซไทยถูกกัดกร่อน ถ้าไม่ถูกมากๆไม่ซื้อ 4. กลุ่มทุนเทา เริ่มเข้าถึงสินเชื่อและทรัพย์สินเพราะมีตัวเลขยอดขายที่ดูดี ทำเรื่องกู้ซื้อสินทรัพย์ แต่ใช้เงินเทาผ่อนจ่าย 5. ระบบกำกับทางการเงินของประเทศไทย ถูกท้าทายจากการฟอกเงินเชิงโครงสร้าง (Structural Laundering) สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เพียงปัญหาทางเศรษฐกิจแบบปกติที่เราเข้าใจกัน แต่คือปัญหาความมั่นคงเชิงเศรษฐกิจ ที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ เพราะเงินตรงนี้สามารถซื้อวิญญาณคนได้ในทุกวงการ ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ และกำลังทำลายเราเงียบๆ 1. บิดกลไกราคา ผู้ประกอบการสุจริตอยู่ไม่ได้ เพราะเจอสงครามขายต่ำกว่าทุนถาวร 2. ดูดสภาพคล่อง เงินเทา ไหลเข้า–ออกโดยไม่สร้างมูลค่าจริง ชุมชนเสียฐานทุน 3. กัดกร่อนความเชื่อ (Trust decay) รีวิวปลอม ฟาร์มคอมเมนต์ สินค้าไร้มาตรฐาน ทำให้คนไม่เชื่อ และกลัวการซื้อขาย อีคอมเมิร์ซไทย 4. เกิดการสะสมอิทธิพลในเงามืด พอเงินเทา ถูกฟอกเป็นเงินที่สะอาด ทำให้เงินนั้นชอบธรรม ต่อยอดอีกขั้นด้วยการเข้าถึงสินเชื่อ ที่ดิน ใบอนุญาตและค่อยๆ ยึดระบบ 5. ความมั่นคงเศรษฐกิจ ไซเบอร์ โครงข่ายสแกมเมอร์เชื่อมหลายประเทศ โดยใช้คริปโต on/off ramp, gift card, OTC, cross-border wallet ถ้าไม่ตัดวงจร วันนี้ที่เค้าขายของถูก แต่พรุ่งนี้เงินเหล่านี้จะถูกนำมาซื้อเมือง เหมือนเมืองต่างๆในประเทศเพื่อนบ้านเราที่เกิดขึ้นแล้วในวันนี้ การแก้ไขต้องไม่ใช่แบบ ไล่จับรายร้าน หรือรายย่อยแต่ต้องแก้ที่ ระบบ เจาะไปที่เงินอยู่ที่ไหน ทำให้เงินเหล่านั้น ขยับไม่ได้ มาถึงจุดนี้ เราต้องถามกันตรงๆ ว่าของถูกที่เราซื้อวันนี้ จะทำให้ในอนาคตเศรษฐกิจไทยต้องจ่ายในราคาแพงเกินรับไหวหรือไม่? ผู้ประกอบการสุจริตไม่ควรถูกปล่อยให้สู้กับระบบที่ออกแบบมาเพื่อโกง ผู้บริโภคไม่ควรถูกหลอกให้กลายเป็นเครื่องมือฟอกเงิน และประเทศไม่ควรถูกยึดความเชื่อโดยกลุ่มทุนเทาเหล่านี้ เศรษฐกิจจะเติบโตได้ต่อเมื่อ “ความไว้วางใจ” เติบโตไปพร้อมกัน และความไว้วางใจ ต้องไม่ถูกปั้นและปั่นขึ้นมา แต่ต้อง พิสูจน์ได้จริง ประเทศไทยต้องเลือกว่าจะยืนอยู่บน ยอดขายปลอม ๆ เหล่านี้ต่อไป แล้วเอาไปเครมเป็นผลงานว่าเศรษฐกิจเติบโต หลอกตัวเองต่อไป แต่เงินถูกถ่ายออกนอกประเทศ โดยไม่เกิดการหมุนเวียนจริง ทางเลือกอยู่ไม่ไกลครับ แค่เราต้องตัดสินใจว่าจะรื้อระบบแทนการจับรายกรณี เพราะ เมื่อ ยอดขายปลอม x คอนเทนต์ปลอม = เงินที่ถูกฟอกจนสะอาด ระบบเศรษฐกิจไทยในความเป็นจริง จึงผุกร่อนเงียบๆจนเกินเยียวยา ต่อให้ทำนโยบายประชานิยมหรือรัฐสวัสดิการเท่าไหร่ ก็ไม่ช่วยอะไร
